“อิหร่าน” เผชิญวิกฤตน้ำ เขื่อนแห้ง ดินทรุด ทะเลสาบใหญ่ใกล้สูญสิ้น

“อิหร่าน” กำลังเผชิญกับวิกฤตทรัพยากรน้ำครั้งใหญ่ หลังจากประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องหลายปี การใช้ทรัพยากรน้ำเกินความจำเป็น และความผิดพลาดในการบริหารจัดการ ทำให้หลายพื้นที่ในประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ตั้งแต่เขื่อนและบ่อน้ำใต้ดินแห้งขอดไปจนถึงทะเลสาบที่เคยมีน้ำล้นจนเกือบหายไป

ภาวะภัยแล้งในอิหร่านเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและฝนลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้ทรัพยากรน้ำในภาคเกษตรมากเกินไป การขุดบ่อน้ำผิดกฎหมาย และโครงการวิศวกรรมที่ล้มเหลว ปริมาณน้ำฝนในปีที่ผ่านมาในเตหะรานลดลงถึง 42% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว ส่วนเขื่อนหลายแห่งเหลือน้ำเพียง 3–15% ของความจุเต็ม

เมืองสำคัญเช่น อีสฟาฮานกำลังเผชิญปัญหาดินทรุดตัวอย่างรุนแรง จากการสูบน้ำใต้ดินเกินความจำเป็น ส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน อาคาร โรงเรียน และโบราณสถาน ขณะเดียวกัน ทะเลสาบอูร์เมียซึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ก็เหลือน้ำเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น และอาจสูญสิ้นไปหากแนวโน้มปัจจุบันยังดำเนินต่อไป การจัดสรรน้ำและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศถือว่าชำรุดและไม่ประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าภาครัฐจะพยายามปรับเปลี่ยนระบบน้ำ การจำกัดการขยายตัวของเมือง และสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการน้ำ แต่ปัญหาการเกษตรที่ใช้น้ำมากถึง 88% ของปริมาณน้ำทั้งหมดยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

นอกจากนี้ ปัญหาภาวะโลกร้อนและการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลยังเพิ่มความซับซ้อนของวิกฤต ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการลดปริมาณน้ำในเกษตรกรรมและปรับเปลี่ยนพืชผลเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทรัพยากรน้ำเพียงพอต่อประชากรและอุตสาหกรรม

อิหร่านกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตน้ำครั้งใหญ่ ทั้งจากภัยแล้ง การบริหารจัดการผิดพลาด และการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น ผลกระทบเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่เขื่อนแห้ง ดินทรุดตัวไปจนถึงทะเลสาบหาย น้ำเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบเกษตรกรรม การบริหารน้ำ และการใช้เทคโนโลยีอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันวิกฤตที่อาจกลายเป็นภัยพิบัติทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต