รีเซต

โอกาสทอง 'ร้านโชว์ห่วย' คาดรับเม็ดเงินดิจิทัลกว่า 90% ของโครงการ

โอกาสทอง 'ร้านโชว์ห่วย' คาดรับเม็ดเงินดิจิทัลกว่า 90% ของโครงการ
TNN ช่อง16
25 เมษายน 2567 ( 18:23 )
33
โอกาสทอง 'ร้านโชว์ห่วย' คาดรับเม็ดเงินดิจิทัลกว่า 90% ของโครงการ


โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล ที่มีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเปิดกว้างให้ร้านค้ารายย่อยเข้าร่วม ไม่ได้จำกัดเฉพาะร้านสะดวกซื้อ คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 4.1 ล้านล้านบาท และ 58% ของผู้ได้รับสิทธิ์จะใช้เงินหมดภายใน 6 เดือน รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะดำเนินโครงการได้อย่างต่อเนื่อง แม้มีข้อทักท้วงจากธปท. เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ สร้างภูมิคุ้มกันให้เศรษฐกิจ ก่อนผลกระทบจากต่างประเทศจะลุกลามในวงกว้าง


รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ประชาชน 50 ล้านคน ตามแผนเดิม โดยเปิดกว้างให้ร้านค้าต่างๆ ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้าร่วมโครงการ ไม่ได้จำกัดเฉพาะร้านสะดวกซื้อเท่านั้น ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่


นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า โครงการนี้กำหนดให้ร้านค้ารายย่อยทั้งในและนอกระบบภาษีสามารถเข้าร่วมได้ โดยร้านค้าที่ไม่อยู่ในระบบภาษีจะใช้เงินดิจิทัลซื้อสินค้าได้ แต่ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ ส่วนร้านค้าในระบบภาษีสามารถถอนเป็นเงินสดได้ตามเกณฑ์ ซึ่งจะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นการเข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด


เปิดกว้างร้าน "โชว์ห่วย" รัฐกระจายเงินสู่ฐานราก หนุนเศรษฐกิจ


โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เปิดกว้างให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะร้านสะดวกซื้อเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการกระจายประโยชน์สู่ผู้ประกอบการรายย่อยในวงกว้าง 


จากข้อมูลพบว่า มีร้านค้ารายย่อยที่เคยลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งถึง 1.2 ล้านราย ซึ่งมีจำนวนมากกว่าร้านสะดวกซื้อที่มีเพียง 14,500 สาขา ถึง 80 เท่า การเปิดโอกาสให้ร้านค้าเหล่านี้เข้าร่วมโครงการ จึงเป็นการช่วยกระจายรายได้และหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจในทุกระดับอย่างทั่วถึง


จากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนรวมในระบบถึง 4.1 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อที่คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนเพียง 380,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่กว่า 90% จะไหลเวียนผ่านร้านค้ารายย่อย  นี่จึงแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใหญ่อย่างที่หลายฝ่ายกังวล


ดังนั้น ความกังวลที่ว่าโครงการนี้จะเป็นการอุ้มร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหญ่ จึงไม่น่าใช่เนื่องจากรัฐบาลได้ออกแบบหลักเกณฑ์ที่ครอบคลุมร้านค้ารายย่อยไว้อย่างชัดเจน และมีสัดส่วนการใช้จ่ายที่มากกว่าร้านสะดวกซื้อหลายเท่าตัว นโยบายนี้จึงสอดคล้องกับเป้าหมายในการกระตุ้นกำลังซื้อและหมุนเวียนเม็ดเงินสู่ผู้ประกอบการรากหญ้า เพื่อสร้างการจ้างงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง


เงินดิจิทัล 10,000 บาท : ความหวังของแม่ค้า ช่วยพยุงเศรษฐกิจชุมชน ยามวิกฤต


แม่ค้ารายหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ระบุกับทีมข่าวว่า โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล เป็นโครงการที่ดีมาก ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถประคองกิจการให้อยู่รอดต่อไปได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งเงินดิจิทัลที่ร้านค้าจะได้รับนั้น ก็ยังสามารถนำไปต่อยอดในกิจการ เช่น สต๊อกสินค้าเพิ่ม ปรับปรุงร้าน หรือใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระได้มากในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้ จึงมองว่าโครงการนี้จะเป็นความหวังที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจชุมชนให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้


‘โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลนี้ ถือเป็นโครงการที่ดีมากๆ  ที่จะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ลำบากแบบนี้ได้  ช่วงนี้ลูกค้าซื้อของน้อยลงไปเยอะ บางวันแทบไม่มีรายได้เลย แต่พอได้ข่าวว่าจะมีเงินดิจิทัลแจกให้ประชาชน แบบนี้คนก็น่าจะมีกำลังใจจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ร้านค้าอย่างเรามีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน’  แม่ค้า กล่าว 



ผลสำรวจชี้ 58% ของผู้มีสิทธิ์ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะใช้เงินหมดภายใน 6 เดือน


โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดย SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้ ระหว่างวันที่ 12 พ.ย. - 12 ธ.ค. 2566 ซึ่งพบว่า 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะทยอยใช้เงินโครงการจำนวน 10,000 บาทให้ครบภายใน 6 เดือน แต่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะใช้จ่ายไปจนถึงวันสิ้นสุดโครงการในเดือน เม.ย. 2570 ดังนั้นหากภาครัฐต้องการให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น อาจต้องกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายให้สั้นลง เช่น ภายใน 6 เดือน


แม้ว่าราว 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะระบุว่าจะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวลงเมื่อได้รับเงินจากโครงการ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่นำเงินส่วนที่ลดลงไปให้ญาติใช้จ่ายหรือนำไปลงทุนต่อ ซึ่งเท่ากับเป็นการนำเงินกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง โดยพบว่าประมาณ 30% ของผู้มีสิทธิ์ทุกระดับรายได้ มีการใช้จ่ายเงินส่วนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาทต่อคน นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิ์ส่วนใหญ่ยังระบุว่าจะนำเงินส่วนที่ลดลงจากการใช้จ่ายเงินส่วนตัวไปเก็บออมหรือชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้สินและเพิ่มเงินออมไว้ใช้ในยามจำเป็นได้อีกด้วย


จากผลสำรวจดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะสามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในวงกว้าง พร้อมทั้งบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนและส่งเสริมการออม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ภาครัฐอาจต้องกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสม เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างทั่วถึงและเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ที่อาจต้องการระยะเวลาในการใช้จ่ายที่ยาวนานขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวม


เสริมพลังเศรษฐกิจฐานราก ผ่านร้านค้าชุมชน


โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ถือเป็นความหวังใหม่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องเผชิญ เงินดิจิทัลจะเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อ ส่งเสริมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้าเท่านั้น หากแต่ยังส่งเสริมให้เกิดการออมและลดภาระหนี้สินในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนในทุกระดับ


นอกจากประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว เงินดิจิทัลยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแกร่ง ผ่านการกระจายเม็ดเงินสู่ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและหมุนเวียนเงินในชุมชน การเปิดกว้างให้ร้านค้ารายย่อยสามารถเข้าร่วมโครงการ โดยมีเม็ดเงินหมุนเวียนผ่านร้านเหล่านี้ 90% สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการเห็นการเติบโตอย่างทั่วถึงในทุกภาคส่วน ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และนำไปสู่การยกระดับศักยภาพและความมั่งคั่งของประชาชนอย่างยั่งยืนในที่สุด



ภาพ Getty IMages 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง