โควิด-19 : ผอ.สุวรรณภูมิระบุเหตุปิดสนามบินหลักทั่วโลกทำผู้โดยสารต่างชาติตกค้างในไทยมากขึ้น

ผู้อำนวยการท่าอากาศสุวรรณภูมิบอกให้การดูแลชาวไนจีเรีย 3 คน ที่ติดค้างมา 2 เดือนแล้ว เป็นอย่างดี หลังการปิดสนามบินหลายแห่งทั่วโลกเพื่อสู้กับการระบาดของโรโควิด-19 ทำผู้โดยสารต่างชาติตกค้างที่สุวรรณภูมิมากขึ้น
จากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์กล่าวขานถึงกรณีที่มีชาวไนจีเรีย 3 คนตกค้างและอาศัยอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิในพื้นที่ผู้โดยสารรอต่อเครื่องเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศสุวรรณภูมิ ชี้แจงเรื่องนี้กับบีบีซีไทยว่า เหตุการณ์ผู้โดยสารตกค้างที่สนามบินเป็นระยะเวลานานเกิดขึ้นเป็นปกติไม่เพียงแค่สุวรรณภูมิเท่านั้น แต่มีตัวอย่างให้เห็นทีอื่น ๆ เช่น กรณีญี่ปุ่นปิดสนามบิน ทำให้คนไทยตกค้างที่นั่นระยะหนึ่ง ในขณะที่ทางไทยก็ปิดสนามบินจึงทำให้ชาวต่างประเทศจำนวนหนึ่งตกค้าง และใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อกลับไปยังประเทศของเขา แต่พอดีที่บ้านเราปิดน่านฟ้าพวกเขาก็กลับบ้านไม่ได้
- ครอบครัวซิมบับเว "ยังแฮปปี้" ขออยู่ตรงที่พักผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องต่อ รอลี้ภัย
- ครอบครัว "เดอะเทอร์มินัล" ล่าสุดออกจากสุวรรณภูมิแล้ว
- แผนที่ อินโฟกราฟิก ยอดเสียชีวิตทั่วโลก
ผอ. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยืนยันว่า สภาพความเป็นอยู่ของนักท่องเที่ยวชาวไนจีเรียทั้ง 3 คน ยังคงอยู่ในสภาพไม่ขัดสน ทางสนามบินส่งอาหารให้พวกเขาทุกวัน ๆ ละ 3 มื้อ
"โดยปกติแล้ว หากเป็นผู้โดยสารตกค้าง ทางสายการบินจะเป็นผู้จัดการดูแล เช่น ถ้าเขาอยู่กับสายการบินใดก็จะมีห้องรับรองผู้โดยสารบริการ หากเป็นสายการบินพันธมิตรในกลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์ ก็จะเข้าไปใช้บริการห้องรับรองของการบินไทย สามารถอาบน้ำอยู่ข้างใน" เขาอธิบาย
https://www.facebook.com/chalongkait.tangjai/posts/2585252148470092
อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้มักไม่มีแผนเดินทางเข้าประเทศไทย จึงทำให้มีปัญหาตอนที่ไทยปิดน่านฟ้า และกลับประเทศไม่ได้ สำหรับกลุ่มที่เข้ามาแล้ววีซ่าหมดอายุ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือ สตม. จะอนุญาตต่อวีซ่าให้
สำหรับชาวไนจีเรีย 3 คนนี้ ไม่ได้รับสิทธิการตรวจลงตราหน้าด่าน หรือ visa on arrival เนื่องจาก ไทยและไนจีเรียไม่มีข้อตกลงร่วมกัน จึงไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ เว้นแต่ สายการบินที่โดยสารมาด้วยจะทำ "แอร์ไลน์การันตี" หรือ ขอให้เข้าประเทศได้ชั่วคราวขณะรอเปลี่ยนเครื่อง แต่โดยมากแล้วสายการบินจะไม่ออกการันตีให้เนื่องจากกลัวว่าผู้โดยสารเหล่านี้จะหลบหนีเข้าเมือง
https://www.facebook.com/prettyao.beaute/posts/1137482026615855
ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอธิบายว่า ขณะนี้ยังเป็นเรื่องยากที่ทั้ง 3 คน จะเดินทางไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อต่อเครื่องไปยังแอฟริกา เพราะท่าอากาศยานแห่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแถบตะวันออกกลาง หรือในเอเชีย ก็ยังปิดอยู่
"เราคงจะต้องดูแลเขาต่อไปอีกจนกว่าสถานทูตของเขาจะมาดูแลหรือไม่ก็สายการบินทำแอร์ไลน์การันตีให้เขา"
เคยรับรองชาวปากีสถานเกือบร้อยที่ตกค้าง
ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ มีชาวปากีสถานมาตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิเกือบ 100 คนอยู่ราว 4-5 วัน และสามารถเดินทางกลับประเทศได้เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผ่านความช่วยเหลือของสถานทูต สายการบิน ท่าอากาศยาน และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
"ในกรณีของชาวปากีสถานนี้ ก็มีการแลกเปลี่ยนเที่ยวบินพิเศษมารับคนฝรั่งเศสที่เมืองไทยก็ให้แวะรับชาวปากีสถาน หรือ ที่มีเที่ยวบินจะไปรับคนไทยในปากีสถานก็จะรับคนปากีสถานกลับประเทศไปด้วย... ส่วนกรณีชาวไนจีเรียนี้ ยังไม่มีเที่ยวบินไปยังแอฟริกา ก็เลยยังไปไม่ได้" น.ท.สุธีรวัฒน์ กล่าว
ก่อนหน้านั้น ช่วงปลายปี 2560 เกิดข่าวดังทางโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Kanaruj "Artt" Pornspolt ได้โพสต์ภาพตัวเขาเองถือกล่องของขวัญและกอดเด็กหญิงชาวแอฟริกาคนหนึ่งเอาไว้ รวมทั้งได้เขียนข้อความเกี่ยวกับว่าครอบครัวชาวซิมบับเวได้มาใช้ชีวิตอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิมาเกือบสามเดือนแล้ว
จากนั้นสื่อไทยก็เริ่มรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานโดยอ้าง พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษกของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ระบุว่าครอบครัวนี้มี 8 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 4 คน และเด็กอีก 4 คน อายุตั้งแต่ 2-11 ปี หัวหน้าครอบครัวมีชื่อว่ามูวาดี รอดริก เดินทางมาถึงไทยในเดือน พ.ค.
จากนั้นในเดือน ต.ค. พวกเขาก็จะเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยเครื่องบินของสายการบินยูเครน อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส (ยูไอเอ) ไปยังบาร์เซโลนาของสเปนโดยผ่านเมืองเคียฟ แต่พวกเขาไม่มีวีซ่าเข้าสเปน สายการบินจึงไม่ให้พวกเขาขึ้นเครื่อง และส่งตัวไปยังสตม. และก็ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ครอบครัวชาวซิมบับเว ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ใหญ่ 4 คนและเด็ก 4 คนในวัย 2-11 ปี ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่พักผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องมาเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน โดยอาศัยนอนบนโซฟา และใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้โดยสารที่มารอเปลี่ยนเครื่อง
จนกระทั่งต้นปี 2561 พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษกสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กล่าวกับบีบีซีไทยว่าครอบครัวชาวซิมบับเวทั้ง 8 คน ได้เดินทางออกไปจากกรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย เมื่อ 22 ม.ค.และคาดว่าน่าจะมีจุดหมายปลายทาง คือ ประเทศฟิลิปปินส์ เพราะสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) มีค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ที่นั่น