เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังอยู่ในช่วงแกว่งพักตัวโดยมีแนวรับที่ 1,625-1,630 จุด บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังกดดันจากความกังวล Recession ในฝั่งตะวันตกและการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ทำให้เม็ดเงินยังไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลงต่ออีก 2% กดดันกลุ่มพลังงานระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ ชะลอเหลือ 1.3 แสนตำแหน่งจากเดือนก่อนที่ 2.7 แสนตำแหน่ง และต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรคืนวันศุกร์ ซึ่งตลาดคาดชะลอเช่นกัน ตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนเดือน ส.ค. +9.1% Y-Y ยังคงทำ New High ส่วนสหรัฐ ฯจะประกาศเงินเฟ้อ CPI วันที่ 13 ก.ย. หากสูงกว่าคาดจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามเรายังคาดว่า SET Index จะพักไม่รุนแรงเท่าโดยยังมีปัจจัยผลักดันจากเศรษฐกิจขาขึ้นและกระแสเงินทุนไหลเข้า เราคาดหุ้น Domestic และ Value Play ที่ PER ไม่สูงเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตจะยัง Outperform ส่วนจังหวะพักตัวของดัชนีลงหา 1,580-1,600+- จุด เรามองเป็นจังหวะสะสม
กลยุทธ์ : ลงทุนใน Domestic และ Value Play // รอสะสมหุ้นช่วงปรับฐาน 1,580-1,600+- จุด
หุ้นเด่นเดือนก.ย. : CPN, KTB, M, PRM, TU
หุ้นเด่นวันนี้ : CENTEL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 49 บาท
• แนวโน้มผลการดำเนินคาดมีกำไรต่อเนื่องและเร่งขึ้นใน 3Q22 จากทั้ง Occ Rate และ ADR ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับขึ้นนำโดยไทยหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ขณะที่ธุรกิจอาหารมี SSSG เป็นบวกต่อเนื่องจากการ Dine-In และวันหยุดที่มาก
• การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดกระทบจำกัดและเชื่อว่าชดเชยได้จากการปรับราคาขาย เรายังคาดปี 2022 จะพลิกมีกำไรในรอบ 3 ปีและเร่งตัวแรง +249% Y-Y ในปี 2023 กลับไปสูงกว่าปี 2019
• แนวรับ 42//40 บาท แนวต้าน 44-45 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ ยังแกว่งกรอบแคบ และอาจไหลลงตามความกังวลเรื่องดอกเบี้ยและน้ำมัน โดยบรรยากาศตลาดโลกวานนี้(31) ยังไม่ได้ข้ามผ่านความกังวลในเรื่องของดอกเบี้ย และในวันนี้ Fed จะมีการปรับลด QE เพิ่มจากเดิม $4.5 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน เป็น $9 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน
ตัวแปรน้ำมันที่เคยเป็นตัวช่วยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง (ล่าสุด 95.05 เหรียญ) ต้องจับตาดูการประชุม OPEC+ ในสัปดาห์หน้า(5) ว่าจะมีการปรับลดกำลังการผลิตหรือไม่ แต่ OPEC+ อาจจะมีการออกมาให้ข่าวก่อนเพื่อพยุงราคาน้ำมัน
ตัวแปรของไทย ต้องรอดูการเมือง ซึ่งเราคาดว่าการยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ช่วงนี้เป็นอาจจะเป็นการปรับ ครม. ส่วนการยุบสภาหากเกิดขึ้นคาดเร็วสุด คือ เดือน ธ.ค. หรือหลังการประชุม APEC
หุ้นเพิ่มทุนที่เริ่มทำการซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก ได้แก่ IRPC, JKN, SELIC
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ PMI ภาคการผลิต และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ
Strategy
ตลาดยังกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมา การลงทุนยังต้องระวังในการเข้าซื้อขายในช่วงนี้
หุ้นกลุ่มที่จะสวนตลาดในช่วงนี้ เราชอบท่องเที่ยว-เปิดเมือง (AOT, CRC, ERW, CPN) หรือกลุ่มที่เป็น Domestic Play (โรงไฟฟ้า, หุ้น Growth ดีๆ) เป็นปัจัยบวกของตลาดหุ้นไทยเอง
หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ BDMS, SICT*, SIS ออกจากพอร์ต และเพิ่ม THCOM* เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย THCOM*(10%), CKP(10%), CPN(10%), SCB(10%), WICE(10%)
Strategy Stock Pick
THCOM*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 11.50 บาท) “ปีแห่งการ Turn around มุ่งหน้าสู่การประมูลคลื่น ธ.ค. นี้”
•เดินหน้าประมูลคลื่น ธ.ค. นี้ มีเป้าหมายหลักที่วงโคจร 119.5E/120E เข้ามาทดแทน THCOM4 ที่กำลังจะหมดอายุในอีก 3-4 ปี ข้างหน้าและจะปลดล็อค Capacity ในการขยายฐานลูกค้าโซนอินเดีย
•หลังปรับโครงสร้างรายได้ (สิ้นสุดสัมปทาน ใน 3Q21A) นับตั้งแต่ปี ’22 ผลประกอบการหลักเริ่ม Turn around ส่วนการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นมาใหม่จากกลุ่ม GULF (ผ่าน INTUCH) ทิศทางการลงทุนจะ Aggressive ขึ้นมุ่งเน้นการเติบโต
•Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 เฉลี่ยที่ 431 ลบ. และ 254 ลบ. +200%YoY, -41%YoY ตามลำดับ
Technical : GFPT, CAZ
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด คาดดัชนี SET มีโอกาสผันผวนเชิงลบมากขึ้น หลัง US Bond Yield ปรับขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนค่า วางแนวรับดัชนีที่ 1,625 – 1,630 แนวต้าน 1,640 – 1,645 แนะนำซื้อเก็งกำไร ASIAN, CPF, GFPT, ICHI ได้ประโยชน์จากการส่งออก หลังเงินบาทอ่อนค่า
TOA* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 34.50 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการทยอยปรับเพิ่มราคาขาย ขณะที่ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันและไททาเนียมไดออกไซด์เริ่มปรับตัวลดลง ส่งผลบวกต่อ GPM ขยับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้บริหารปรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 65 เป็น 14-16% จากเดิมคาดโต 10% หนุนจากการแตกไลน์ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สี เช่น เคมีก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างมากขึ้น โดยมีช่องทางการขายผ่านเครือข่าย และ Shop Mega Paint นอกจากนี้ TOA ยังครองความแข็งแกร่งทั้งในแง่ผู้นำตลาดสี ฐานะทางการเงินดีมีเงินสดสูง ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 65 Flat แต่จะโตในปี 66 ราว +19%
ICHI* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.10 บาท) ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 2H22 มีแนวโน้มสดใสรับการ Reopening ทั้งใน/ต่างประเทศ และ จากแผนการออกเครื่องดื่มใหม่ อย่าง เย็นเย็นรสบ๊วย+สมุนไพร /ICHITAN No Sugar/ เครื่องดื่มอัดก๊าซ (CSD)แบรนด์ TANSUNSU/ น้ำด่าง 8.5 + CBD ผสานคุณค่าจากน้ำด่างและ CBD สารสกัดธรรมชาติจากกัญชง ขณะที่ธุรกิจในอินโดนีเซียคาดว่าจะปรับตัวได้ดีต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปรับแผนงานรวมถึงการเตรียมส่งสินค้าใหม่บุกตลาดในกลุ่มชาไทย/กาแฟโคลด์บริว และขั้นถัดไป นำชาไทยจากอิชิตัน อินโดนีเซีย ขยายไปเปิดตลาดใหม่ที่ฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 0.42 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.43 บาท/หุ้น, และ 0.49 บาท/หุ้น ตามลำดับ