ชีวิตสื่อมวลชนไม่ปลอดภัย คุยกับนักข่าวปาเลสไตน์ ผู้ทำงานในพื้นที่ไร้อิสรภาพ และความขัดแย้ง

นับตั้งแต่การโจมตีของกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ต.ค. 2023 และการโจมตีกลับของอิสราเอล จนเกิดเป็นสงครามในกาซารอบใหม่ นอกจากพลเรือนจำนวนมากที่เสียชีวิตแล้ว อาชีพหนึ่งที่กลายเป็นอาชีพเสี่ยงอันตรายในพื้นที่นี้ไปแล้วคืออาชีพ ‘นักข่าว และสื่อมวลชน’
ตั้งแต่การโจมตีรอบใหม่เกิดขึ้น มีการรายงานว่ามีนักข่าวกว่า 200 คน ที่ถูกสังหารระหว่างการรายงานข่าว เสรีภาพสื่อในพื้นที่ถดถอยรุนแรง การรายงาน และเผยแพร่ความจริงในพื้นที่เหล่านั้นเป็นไปได้ยาก ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีมานี้
TNN Online ได้พูดคุยกับ มูฮัมหมัด อาบู ฮานีเย นักข่าวชาวปาเลสไตน์ หัวหน้าบรรณาธิการของสำนักข่าว Palestine Media Agency ซึ่งทำงานเกี่ยวกับสังคม และวัฒนธรรมปาเลสไตน์ถึงการทำงาน ชีวิต และการเป็นสื่อในพื้นที่ที่อันตราย และไม่แน่นอนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และความหวังที่ปาเลสไตน์นั้นจะได้รับอิสรภาพ
มูฮัมหมัดเล่าว่า เขาอาศัยอยู่ในเวสแบงค์ และเริ่มเป็นนักข่าวมาตั้งแต่ปี 2007 หรือเมื่อ 18 ปีก่อน แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ในสงครามกาซารอบใหม่นั้น ถือว่าเป็นช่วงที่การทำงานยากลำบากมาก “สถานการณ์ตอนผมเริ่มทำงาน กับตอนนี้แตกต่างกันมาก จริงๆ แล้วเราต้องทำงานหนักมาก ในสถานการณ์ที่คุณก็รู้ปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยอิสราเอล เพราะสถานการณ์ที่แตกต่างและงานหนัก และจริงๆ แล้วใช้เวลาสามปีที่ผ่านมาก็เรียกว่าหนักมาขึ้น”
แม้ว่ามูฮัมหมัด จะเป็นนักข่าวด้านวัฒนธรรม และศิลปะ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียดในกาซา และปาเลสไตน์ ทำให้งานของเขาเองก็ต้องออกมาพูดถึงเหตุการณ์ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย “งานของผมเกี่ยวกับวัฒนธรรม และศิลปะ แต่บางครั้งเราก็เขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ในปาเลสไตน์ คุณรู้ไหม เวลาที่คุณต้องการพูดถึงปาเลสไตน์ มีหลายเรื่องให้พูด แต่จริงๆ แล้วสามปีที่ผ่านมา ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะสงครามในกาซา
ดังนั้นสิ่งที่ยากคือเมื่อคุณเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศของคุณ, ประชาชนของคุณ, ครอบครัวของคุณ คุณจะไม่ใช่คนหลังกล้อง คุณจะกลายเป็นเรื่องราวนั้นด้วย ตอนนี้นักข่าวในปาเลสไตน์ พวกเขาคือเรื่องราว พวกเขาหิวโหย พวกเขาไม่มีบ้าน พวกเขาอยู่บนถนน โดยไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรเลย เหมือนกับทุกคนในกาซา และเรามีพื้นที่รายงานสถานการณ์ในเวสต์แบงก์ เพราะทุกเมืองปิดพรมแดนกันเยอะมาก มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในกาซา”
ความหิวโหย การรายงานการปิดล้อมต่างๆ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกาซา แม้ว่ามูฮัมหมัดจะอาศัยอยู่ในเวสต์แบงค์ แต่เขาก็เล่าถึงความอันตรายในพื้นที่ของเขา ที่เป็นการจับกุม และพยายามปิดปากไม่ให้นักข่าวรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นได้
“ที่จริงแล้วในสถานการณ์ในเวสต์แบงก์ แตกต่างจากกาซา ในกาซา ในสงครามไม่มีการช่วยนักข่าวคนไหน เขาไม่สนใจด้วยว่าเราเป็นนักข่าว ไม่สนใจป้ายสื่อ พวกเขาโจมตีหมด ส่วนในเวสต์แบงค์ พวกเขาจับกุมคนจำนวนมาก ที่ เขียนบทความ และทำวิดีโอเกี่ยวกับสถานการณ์ในปาเลสไตน์ ล่าสุดเพื่อนของผม ที่เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของสำนักข่าวท้องถิ่น ถูกจับกุมเป็นเวลา 10 วัน เพราะเขาทำข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นในปาเลสไตน์ และกาซา
เพราะแบบนั้น คุณเขียนไม่ได้ พูดไม่ได้ ถ่ายวิดีโอไม่ได้ มันไม่อันตราย ผมต้องเอาแถบบัตรสื่อมวลชนออกจากรถของผม เพราะผมกลัวว่าครอบครัวของผมจะเดือดร้อน เพราะบางทีพวกทหารก็จะโจมตีเราได้” มูฮัมหมัดเล่า พร้อมย้ำว่า ที่นี่ ไม่มีใครช่วยเราได้ และไม่มีใครสนใจความปลอดภัยของนักข่าวเลย
นักข่าวชาวปาเลสไตน์ยังเล่าให้เราฟังว่า แม้เขาจะอาศัยอยู่ในเวสต์แบงก์ที่ไม่ไกลจากกาซา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคย และไม่สามารถเข้าไปในกาซาได้ เพราะการควบคุม และปิดพรมแดน ทั้งไม่เพียงแค่กาซาเท่านั้น แต่การเดินทางของชาวปาเลสไตน์เองก็เป็นไปอย่างยากลำบาก
“ที่นี่เราถูกปิดพรมแดนเยอะมากๆ แม้แต่ในเมืองๆ เดียว จากรามัลเลาะห์และเฮบรอนมาก ที่อยู่ไม่ไกล ใช้เวลาขับรถประมาณ 10 นาที เราต้องใช้เวลา 2 วันในการไปที่นั่นเพราะการปิดพรมแดน
ผมเกิดที่เยรูซาเล็ม แต่ผมไม่ได้ไปเยรูซาเล็มมา 10 ปีแล้ว เยรูซาเล็มเป็นส่วนหนึ่งของการยึดครองในปี 1948 ดังนั้นเราไม่สามารถข้ามพรมแดนไปที่นั่นได้ เราต้องได้รับอนุญาตอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมเยรูซาเล็ม ผม และครอบครัวข้ามพรมแดนไม่ได้เพราะพวกเขาไม่อนุญาตให้เราไปที่นั่น หากพวกเขาต้องการปิดเมือง พวกเขาก็ปิดได้ เราไม่มีอำนาจที่สามารถควบคุมชีวิตของเราในปาเลสไตน์ได้เลย”
“เช่นเดียวกัน เวสต์แบงก์กับกาซาอยู่ไม่ไกลกัน นั่งรถบัสไปแค่ 2 ชั่วโมง แต่ผมไม่เคยไปที่นั่นเลย ทหารปิดพรมแดนทุกที่ ไม่มีใครข้ามพรมแดนไปกาซาได้ และก็ไม่มีใครจากกาซาข้ามพรมแดนมาปาเลสไตน์ได้เช่นกัน มันคือพรมแดนภายในประเทศเดียวกัน นี่เป็นเรื่องยากจริงๆ ดังนั้นคนในกาซาจึงไม่มีโอกาสที่จะปลอดภัยที่ไหนได้เลย กาซาทั้งหมดถูกโจมตี เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่นั่น”
เขายังเล่าว่า การไม่สามารถช่วยเหลือคนในกาซา รวมถึงเพื่อนของเขาได้นั้น ทำเขา และชาวปาเลสไตน์คนอื่นๆ มักเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีมานี้
“ผมมีเพื่อนทำงานที่กาซา เขาเป็นนักข่าว เขาสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด และตอนนี้เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียว เขาเดินทางบ่อยมากเพื่อหาพื้นที่ที่ปลอดภัย แต่สถานการณ์แย่มาก ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีใครอยากนอน ดังนั้ มันยากลำบากมากในกาซา
บางครั้งผมก็โทรหาเขา เพราะเขายังมีมีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ได้จาก esim เพราะไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอื่นๆ ในกาซา เขาบอกผมว่าในหนึ่งสัปดาห์เขาไม่ได้กินอะไรเลย ดื่มแค่น้ำเปล่าเท่านั้น ชีวิตเขาลำบาก แม้เขามีเงินจากเงินเดือนจากองค์กรต่างๆ แต่ในกาซา เขาซื้ออะไรไม่ได้เลย ดังนั้นต่อคุณมีเงิน คุณก็ซื้ออะไรไม่ได้ ทุกอย่างราคราแพงกว่าข้างนอกในราคาปกติมาก เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อน้ำสะอาดสำหรับดื่ม หากข้างนอกราคา 1 ดอลลาร์ ที่นั่นก็จะราคา 100 ดอลลาร์ ดังนั้นจึงไม่มีใครซื้อของเหล่านี้ได้”
“ในเดือนนี้มีคนและเด็กจำนวนมากเสียชีวิตเพราะไม่มีอาหาร เราเห็นรายงานแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้เลย ในเวสต์แบงก์เราทำอะไรเพื่อพวกเขาในกาซาไม่ได้เลย แม้เราพยายามจะช่วย แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจต่อคนของเราที่นั่น เพราะไม่มีใครสามารถข้ามไปที่นั่น ให้ยา อาหาร หรืออะไรก็ตามได้ มันเป็นเหมือนคุกขนาดใหญ่ในปาเลสไตน์ เป็นคุกสำหรับผู้คนในปาเลสไตน์ ไม่มีใครสามารถข้ามพรมแดนเพื่อไปไหนได้ องค์กรระหว่างประเทศบางแห่งพยายามส่งอาหาร เช่น องค์กรระหว่างประเทศของจอร์แดน พวกเขาพยายามส่งอาหารไปยังกาซา ซึ่งพวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าไปในกาซา
พวกเขาพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คือชาวปาเลสไตน์จากกาซา จากทั้งประเทศ พวกเขาพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทุกอย่าง ดังนั้น จำนวนมากคือมีคนมากกว่า 200,000 คนเสียชีวิตในกาซาในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นสองปีในสถานที่เล็กๆ แบบนี้ มันเหมือนเมืองเล็กๆ และเราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาไม่สนใจชาวปาเลสไตน์เลย” มูฮัมหมัดเล่าถึงสถานการณ์
นอกจากข่าวความหิวโหย และวิกฤตของผู้คนในกาซา หลายครั้งเราเห็นข่าวจากฝั่งตะวันตกที่รายงานสิ่งที่ตรงกันข้าม ในเรื่องราวที่แตกต่างไป ในฐานะนักข่าวมูฮัมหมัดมองว่า นี่เป็นการพยายามสร้างเรื่องราว แต่กีดกันการรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
“พวกเขาพยายามพูด พยายามสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับกาซาอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขาคิดว่าถ้าถ่ายวิดีโอจากเมืองปกติ ฉายภาพการให้อาหารและน้ำแก่ผู้คนประมาณ 100 คน แต่ในกาซามีคนมากกว่า 1 ล้าน พวกเขาทำลายบ้าน ที่อยู่อาศัย และพวกเขาปฏิเสธไม่ให้นักข่าวต่างชาติเข้าไปในกาซา เพราะเขารู้ว่าถ้านักข่าวได้เห็นเรื่องราวที่แท้จริงที่เกิดขึ้นที่นั่น คนจำนวนมากจะออกมาสนับสนุนกาซา ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบางทีไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นในทีวี หรือข่าว แต่สถานการณ์จริงมันเลวร้ายกว่านั้นมาก”
แม้ว่ามูฮัมหมัดจะมีความรู้สึกผิด และความรับผิดชอบบางอย่างที่ไม่สามารถช่วยเหลือสถานการณ์ในกาซาได้ แต่ในฐานะนักข่าวเอง เขาบอกเราว่าสิ่งที่เขาทำได้ คือพยายามสื่อสารเรื่องราวของกาซา ให้โลกได้เห็น และเข้าใจ
“เราพยายามส่งวัฒนธรรม และการเล่าเรื่องของเรา บอกเล่าชีวิตหลังกล้อง เราต้องบอกผู้คนว่าเราคือคนที่ต้องการชีวิต เราไม่จำเป็นต้องตาย เราต้องสร้างชีวิตของเรา ต้องการให้ครอบครัวของเรา ลูกๆ ของเรามีชีวิตที่ยืนยาว เรียนจบ แต่งงาน มีครอบครัว เราชาวปาเลสไตน์ต้องการชีวิต เราขอให้มีประเทศ เราจำเป็นต้องมีอิสรภาพ เป็นสิ่งที่เราต้องการแค่นั้นเอง”
"เราหวังเช่นนั้นทุกครั้งในอนาคต นั่นคือความรู้สึกของเราว่าเราจะมีอิสรภาพในวันหนึ่ง”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
