รีเซต

อัปเดตแผนการสร้างโรงแรมอวกาศ Orbital Reef ของบริษัท Blue Origin

อัปเดตแผนการสร้างโรงแรมอวกาศ Orbital Reef ของบริษัท Blue Origin
TNN ช่อง16
2 ตุลาคม 2568 ( 12:32 )
9

บริษัท Blue Origin นอกจากดำเนินธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอวกาศและการขนส่งอวกาศ บริษัทแห่งนี้ยังมีแผนการในอนาคตี่จะสร้างโรงแรมบนอวกาศภายใต้โครงการชื่อว่า Orbital Reef แผนการนี้ถูกนำเสนอเมื่อ 4 ปีก่อน และกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพิ่มเติม

โดยบริษัท Blue Origin ได้ร่วมมือกับ Sierra Space และพันธมิตรหลายรายเพื่อพัฒนาโรงแรมอวกาศ Orbital Reef ซึ่งถูกนิยามว่าเป็นสวนธุรกิจแบบผสมผสาน (Mixed-use business park) ในวงโคจรต่ำของโลก (LEO) 

แนวคิด คือ การสร้างสถานีอวกาศที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย วิศวกรรม การพาณิชย์ หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยวอวกาศ สถานีถูกออกแบบให้เป็นแบบ โมดูลาร์ (modular) สามารถขยายพื้นที่ได้ตามความต้องการ 

ในระยะเริ่มต้นคาดว่าจะรองรับลูกเรือหรือผู้พักอาศัยได้ราว 6 คน และมีปริมาตรภายในกว่า 830 ลูกบาศก์เมตร โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ประมาณปี 2027

โครงสร้างและระบบสนับสนุนชีวิต

โครงการ Orbital Reef ที่เป็นสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์นั้น จำเป็นต้องมีระบบสำคัญหลายอย่างเพื่อให้สามารถทำงานและรองรับผู้คนได้ในระยะยาว 

โดยระบบเหล่านี้รวมถึง ระบบสิ่งแวดล้อมและชีวิต (ECLSS) ที่ทำหน้าที่ควบคุมอากาศ น้ำ อุณหภูมิ และจัดการของเสียอย่างครบวงจร, ระบบพลังงานและไฟฟ้า ที่จะได้รับจากแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่

พอร์ตการเชื่อมต่อยานอวกาศที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับยานอวกาศเชิงพาณิชย์หลายรุ่นสำหรับการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้า 

และสุดท้ายคือ การป้องกันรังสีอวกาศ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยปกป้องผู้พักอาศัยให้ปลอดภัยจากอันตรายของรังสีคอสมิกและรังสีจากดวงอาทิตย์

โมดูลที่เปิดเผยแล้วของโครงการ Orbital Reef

ปัจจุบัน Blue Origin และพันธมิตรได้เปิดเผยแนวทางการออกแบบโมดูลหลักหลายส่วนของสถานีอวกาศ Orbital Reef ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ในอนาคต

เริ่มจาก Core Module (โคร์โมดูล) ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางหรือหัวใจของสถานี ทำหน้าที่ควบคุมระบบหลัก การสื่อสาร การส่งคำสั่ง และเชื่อมต่อกับโมดูลอื่น ๆ ภายในสถานี โดยโมดูลนี้มีปริมาตรภายในประมาณ 250 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใช้งานหลักในช่วงเริ่มต้นของโครงการ

ถัดมาเป็น LIFE Module (Large Integrated Flexible Environment) ซึ่งพัฒนาโดย Sierra Space โมดูลนี้เป็นจุดเด่นของโครงการเพราะสามารถ “พองตัว” ได้เมื่ออยู่ในวงโคจร เพื่อขยายพื้นที่ใช้งานให้กว้างขึ้น ภายในจะประกอบด้วยห้องนอน ห้องครัว และห้องทดลอง เพื่อรองรับการอยู่อาศัยและการทำงานของลูกเรือได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ยังมี Node Module (โหนดโมดูล) ที่ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโมดูลต่าง ๆ ให้สถานีสามารถขยายออกไปได้ในอนาคต Blue Origin และ Sierra Space เป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่พัฒนาโหนดโมดูลนี้โดยตรง

สุดท้ายคือ Science and Research Module ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิทยาศาสตร์ การทดลอง และการวิจัยโดยเฉพาะ โมดูลประเภทนี้จะเป็นพื้นที่ที่สำคัญสำหรับทั้งนักวิทยาศาสตร์และภาคธุรกิจที่ต้องการใช้สถานีเพื่อการวิจัยเชิงพาณิชย์

ความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับนาซา

ในช่วงเดือนเมษายนปี 2025 มีรายงานว่า โครงการได้ดำเนินการทดสอบ “Human-in-the-loop” โดยให้ผู้เข้าร่วมทดลองใช้ชีวิตประจำวัน การจัดการของหนัก น้ำเสีย ขยะ การวางอุปกรณ์ ฯลฯ ภายในแบบจำลองของโมดูลสำคัญ (ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องปฏิบัติการ) เพื่อรับฟังข้อมูลป้อนกลับในการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง

โดยก่อนหน้านั้นในปี 2024 ได้มีการทดสอบโมดูล LIFE หรือ Large Integrated Flexible Environment ซึ่งเป็นโมดูลที่ใช้วัสดุแบบแบบพิเศษ หรือ “Inflatable / soft goods” ได้ผ่านการทดสอบแรงดันเต็มขนาด (Ultimate burst pressure test) ที่ศูนย์ทดสอบของ NASA Marshall Space Flight Center เพื่อวัดความต้านทานต่อแรงดันจนถึงจุดแตก 

โดยเป็นการทดสอบที่สำคัญในด้านความปลอดภัยของโครงสร้างแบบนุ่ม (Soft goods) การทดสอบนี้จะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Safety margins, Failure modes) ที่จำเป็นต่อการออกแบบเพื่อให้สามารถรับแรงดันภายในได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

นอกจากนี้ NASA ยังระบุว่าโครงการยังได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาระบบสำคัญ เช่น การจัดการอากาศ น้ำ การฟื้นฟูทรัพยากร (Recycling) เพื่อให้สามารถรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่มนุษย์ได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบ “Day-in-the-life scenarios” ในแบบจำลองช่วยให้ทราบจุดอ่อนด้านการจัดวางอุปกรณ์ ความสะดวกในการเข้าถึง และการทำงานของระบบสนับสนุนชีวิตในสภาพแวดล้อมจำลอง

ความเป็นไปได้ในการเป็น “โรงแรมอวกาศ”

แม้ในตอนแรก Orbital Reef จะถูกวางให้เป็นสถานีวิจัยและพาณิชย์ แต่ด้วยการออกแบบที่ยืดหยุ่น โมดูลบางส่วนสามารถถูกปรับเปลี่ยนเป็น พื้นที่พักผ่อนหรือห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวอวกาศ ได้ในอนาคต การที่ NASA เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักภายใต้โครงการ Commercial LEO Development (CLD) ยิ่งทำให้โครงการมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ความท้าทายสำคัญของโครงการ

ความท้าทายที่สำคัญในการสร้างและดำเนินการโรงแรมอวกาศไม่ได้มีเพียงแค่ปัญหาทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปสรรคหลายด้านที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของต้นทุนที่สูงมาก ทั้งในการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างและการบำรุงรักษาระบบสนับสนุนชีวิตบนสถานี, การรับรองความปลอดภัยที่ต้องมีระบบสำรองฉุกเฉินและระบบควบคุมที่เชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ประเด็นด้านกฎหมายและกติกาสากลที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิ์การใช้พื้นที่และความรับผิดชอบในอวกาศ, ตลอดจนปัญหาเรื่องราคาเข้าพักที่ในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินไปจนไม่สามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วไปได้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง