เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ภาวะหุ้น #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะยังแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,436-1,450 จุด แม้จะมีปัจจัยหนุนจาก Dollar Index และ Bond Yield สหรัฐฯจะย่อตัวลงตอบรับว่าทีรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯท่านใหม่ซึ่งตลาดคาดหวังเชิงบวกต่อตลาดทุน อย่างไรก็ตามคาดการฟื้นตัวยังจำกัด โดยค่าเงินบาทล่าสุดกลับมาพลิกอ่อนค่าอีกครั้งที่ระดับ 34.72 บาท/ดอลลาร์ ด้านราคาน้ำมันดิบปรับลงแรงจากความคาดหวังเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ที่มีโอกาสบรรลุมากขึ้น คาดเป็นบวกต่อกลุ่ม Anti-Commodity โดยเฉพาะสายการบิน
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามวันนี้คือตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. คาดยังเห็นการเติบโตที่แข็งแรง y-y ต่อเนื่อง เรามองระยะสั้นตลาดอยู่ระหว่างการทยอยปรับพอร์ตหลังประกาศกำไรบจ. 3Q24 และทยอยมีการประชุมนักวิเคราะห์รับข้อมูลใหม่ อย่างไรก็ตามเราคาดโมเมนตัมกำไรบจ.และเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวอีกครั้งใน 4Q24 จาก High Season ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว รวมถึงปี 2025 ที่มองภาคการลงทุนทั้งรัฐและเอกชนจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักหนุนการเติบโต นอกจากนี้ยังมี Upside หากกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่วน Downside คาดว่ายังถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH
FSSIA Portfolio : AOT, CHG, CPALL, CPN, ITC, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR
หุ้นเด่นวันนี้ : OSP
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท
• ส่วนแบ่งการตลาดชูกำลังของ OSP เดือน ต.ค. ในเชิงมูลค่ามูลค่ากลับมาฟื้นเป็น 45% จาก 44.8% ในเดือน ก.ย. โตได้ทั้งช่องทาง traditional และ modern trade ส่วนหนึ่งเพราะน้ำท่วมคลี่คลาย มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยเดือน ต.ค. ยังโตต่อ +4% m-m, +12% y-y โดย OSP สามารถแย่งส่วนแบ่งกลับมาได้เล็กน้อย
• กลยุทธ์จะเน้นออกสินค้าใหม่และสร้างตลาดด้วยสินค้าที่มีราคาสูงกว่า 10-12 บาท ส่วน 10 บาทยังมีขายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าและเพื่อรองรับการแข่งขัน มองผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q24 ไปแล้ว คาดกำไร 4Q24 จะกลับมาโต q-q และ y-y เราคาดกำไรปี 2025 จะกลับมาโตแรง +74% y-y
• แนวรับ 20.70-20.50//20 บาท แนวต้าน 21.50//22 บาท
บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,430 – 1,440 แนวต้าน 1,460 หลังทรัปม์เผยเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้านำเข้าจีน,แคนาดา และเม็กซิโก แนะนำทยอยซื้อกลุ่มอุปโภค CPAXT,HMPRO,CRC,MBK,OSP,NSL/ ท่องเที่ยว AOT,MINT,SPA ได้ประโยชน์ช่วง High Season / กลุ่มปลอดภัย ADANC,INTUCH,GULF,GPSC ได้ปัจจัยหนุนจาก US Bond Yield ปรับลดลง
MTC* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 58.50 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 1.49 พันล้านบาท +3%QoQ, +16%YoY หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ดอกเบี้ยเติบโต และการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดย NPL ลดลงเหลือ 2.8% จาก 2Q67 ที่ 2.9% สำหรับแนวโน้ม 4Q67 กำไรยังอยู่ในทิศทางปรับเพิ่มทั้ง QoQ, YoY จากการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงจากมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางของรัฐ ส่งผลให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ส่วน NIM ที่อาจถูกกดดันจากต้นทุนการเงินหุ้นกู้ชุดใหม่น่าจะชดเชยได้จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งในปี 67-68 คาดการขยายตัวของสินเชื่อ 15-20% อิงจาก consensus ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 67-68 ที่ 5.86 พันล้านบาท +20%YoY และ 6.98 พันล้านบาท +19%YoY
SHR* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 3.15 บาท) ผลการดำเนินงาน 3Q67 ขาดทุนลดลง QoQ ส่วนภาพ YoY มีแรงกดดันจาก SG&A ที่สูงขึ้น(โฆษณา/โปรโมชั่น) และ Equity Income ที่ขาดทุนสูงขึ้นจากโรงแรม SO/Maldives(ซึ่งพึ่งเปิด พ.ย.66) อย่างไรก็ตาม คาดว่า 4Q67 SHR จะสามารถกลับมามีกำไรได้ QoQ ตาม High Season ธุรกิจโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ ได้แรงหนุนจาก 1.จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทย 1ต.ค.-17พ.ย.67 ที่ +23%YoY และ 2.จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามัลดีฟส์ 1ต.ค.-18พ.ย.67 ที่ +8%YoY ทั้งนี้ตลาดคาด Adj. Profit ปี67 และ68 ของ SHR* ที่ 177 ลบ.(+121%YoY) และ 354 ลบ.(+100%YoY)
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองในทางฟื้นตัวได้อยู่ Sentiment บวกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับว่าที่รมว. คลังคนใหม่ และ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับลง เป็นปัจจัยหนุน SET ขณะที่แรงกดดันจาก Fund Flow ไหลออกคาดลดลง จากดอลลาร์สหรัฐชะลอการแข็งแรง รวมสิ้นสุด MSCI Balance ไปแล้วเมื่อวานที่เป็น Effective Date ทําให้คาดดัชนีจะฟื้นตัวได้ โดยมีแนวต้านที่ 1450-1455 จุด ส่วนแนวรับ 1430-1440 จุด มองเป็นจุดรองรับได้
ทั้งนี้ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจํากัด โดยตลาดคาดดัชนี PCE ต.ค. ของสหรัฐฯ จะทรงตัวใกล้เคียงกับ ก.ย. ที่ระดับ 0.2%MoM และดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ย. ของจีนจะขยายตัวเล็กน้อยหรือใกล้เคียง ต.ค. ที่ระดับ 50.1 ส่วนกระแสเงินทุนคาดยังมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่องจากตลาดหุ้น EM รวมทั้งไทยและจีน สืบเนื่องมาจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของทรัมป์
ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 และปี 2568 พร้อมรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ อีกทั้งตัวเลขส่งออกไทย ต.ค. คาดจะเติบโตเร่งตัวขึ้นเป็น 5.5%YoY จาก 1.1%YoY ใน ก.ย. ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนําให้ “Selective Buy”
หุ้นแนะนำ
GULF: 4Q67 คาดกําไรจะทําสถิติสูงสุดอีกครั้งจากการขยายกําลังการผลิต โดยมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจากผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการกับ INTUCH ที่จะหนุนให้งบดุลของบริษัทปรับตัวดีขึ้นและช่วยสนับสนุนการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่กําลังจะมาถึง รวมถึงการเริมต้นวงจรอัตราดอกเบี้ยขาลง
FTREIT: ราคาปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.5% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทําให้ Div. Yield ดูน่าสนใจมากขึ้นที่ 7.1% ในปี FY2567 และ 7.3% ในปี FY2568 นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยจากการพูดคุยกับผู้จัดการกอง REIT ยังไม่มีสัญญาณว่าลูกค้าจะชะลอการตัดสินใจหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ