โควิดเป็นเหตุ สำรองไฟฟ้าพุ่ง
ข่าววันนี้ ตามมาตรฐานสากล ปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศ ควรอยู่ที่ 15% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ แต่จากข้อมูลของสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ล่าสุด ระบุว่า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ในช่วง 3 - 4 ปีข้างหน้า ยังอยู่ในระดับสูง ประมาณ 35% ขณะที่ การบริโภคไฟฟ้า ปี 2564 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพียง 2-3%
สาเหตุที่ทำให้ไฟฟ้าสำรองสูงเกินมาตรฐาน ปัจจัยหนึ่งต้องยอมรับว่า มาจากการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก ความต้องการใช้ไฟฟ้า จึงลดลงตามไปด้วย
สะท้อนได้จากการใช้ไฟฟ้า เมื่อปี 2563 ที่คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อยู่ที่ 32,732 เมกะวัตต์ แต่ พีคไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเดือนมีนาคม 2563 อยู่ที่ 28,636 เมกะวัตต์ ขณะที่ โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เข้าระบบมีมากถึง 51,943 เมกะวัตต์ นั่นหมายความว่า มีกำลังผลิตไฟฟ้าเหลืออยู่ในระบบมากถึง 23,307 เมกะวัตต์
ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการปรับลดปริมาณสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินในระบบ ก็คือ การปรับลดกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบ รวมถึง ลดการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ซึ่งหมายถึง ต้องปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับปรับปรุงแก้ไข (ร่างแผน PDP 2018 Rev.1) หนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาไฟฟ้าสำรองสูงล้นระบบ ของ แกนนำกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ ERS นั่นเอง
ขณะที่ ท่าทีของคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เชื่อว่า ปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูงเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จากผลกระทบ โควิด-19 โดยประเมินว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว ทำให้การใช้ไฟฟ้ามาอยู่ในระดับเดิม
อีกทั้ง ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ ๆ กำลังจะเกิดขึ้น เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ ที่จะมีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เกิดขึ้น รวมถึง ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ในอนาคต เกณฑ์ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ก็อาจเปลี่ยนแปลงเช่นกัน