รีเซต

แนะกลยุทธ์ปรับพอร์ตหุ้นไทย Q2 ชู Defensive ฝ่าปัจจัยลบ รอจังหวะเก็บหุ้นพื้นฐานดีช่วงตลาดฟื้น I WEALTH LIVE

แนะกลยุทธ์ปรับพอร์ตหุ้นไทย Q2 ชู Defensive ฝ่าปัจจัยลบ รอจังหวะเก็บหุ้นพื้นฐานดีช่วงตลาดฟื้น I WEALTH LIVE
TNN ช่อง16
16 เมษายน 2568 ( 14:25 )
8

บล.หยวนต้า มองตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ยังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเน้นหุ้น Defensive ประคองพอร์ตช่วงรอความชัดเจน ก่อนทยอยสะสมหุ้นกลุ่มพื้นฐานดีที่ราคาลงมาเยอะเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย พร้อมปรับลดเป้า SET Index ปีนี้

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้า (Trade War) ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงปัจจัยทางสถิติอย่าง "Sell in May" ที่มักเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคม

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผ่านรายการ WEALTH LIVE ว่า ช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 2 (เมษายน-พฤษภาคม) ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกยังรอความชัดเจนและประเมินผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีและการตอบโต้ระหว่างประเทศมหาอำนาจ

เปิดกลยุทธ์ 2 จังหวะ รับมือตลาดหุ้น Q2 ผันผวน

ท่ามกลางความไม่แน่นอน บล.หยวนต้า แนะนักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 จังหวะ ดังนี้

จังหวะที่ 1: ช่วงรอความชัดเจน (เน้นหุ้น Defensive)

ในช่วงที่ตลาดยังผันผวน แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนใน หุ้นกลุ่ม Defensive เพื่อลดความเสี่ยงและประคับประคองพอร์ต ได้แก่:

  • กลุ่มสื่อสารและค้าปลีก: เป็นกลุ่มที่โดยธรรมชาติมีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวน
  • กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs): แม้อาจเห็นการย่อตัวระยะสั้นตามภาวะตลาด แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวและให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดในระยะกลางถึงยาว การปรับฐานจึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
  • กลุ่มโรงไฟฟ้า: ทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็ก มีความน่าสนใจมากขึ้น แม้เผชิญแรงกดดันด้านการควบคุมค่าไฟฟ้า แต่คาดว่าจะได้ประโยชน์จาก 2 ปัจจัยหนุน คือ 1) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และ 2) ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวลดลง

จังหวะที่ 2: เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย (ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี)

เมื่อประเด็นสงครามการค้ามีความชัดเจนมากขึ้น หรือมีสัญญาณบวกจากการเจรจา และตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ แนะปรับกลยุทธ์มาลงทุนใน กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม แต่ราคาปรับตัวลงมามาก ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้เร็ว ได้แก่:

  • กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว: เช่น หุ้นกลุ่มสนามบิน และหุ้นกลุ่มโรงแรม/บริการที่เกี่ยวข้อง
  • กลุ่มการเงิน (Finance): โดยเฉพาะบริษัทที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง
  • กลุ่มธนาคาร: อาจฟื้นตัวตามตลาด แต่ให้ระมัดระวังแรงขายทำกำไรช่วงก่อนและหลังขึ้นเครื่องหมาย XD (แนะนำขายล็อกกำไรก่อนขึ้น XD หากไม่ต้องการรับปันผล)
  • กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
  • กลุ่มค้าปลีก : เช่น กลุ่มค้าปลีก/ค้าส่งสินค้าไอที หรือสินค้าตกแต่งบ้าน

"สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษี เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร หรือนิคมอุตสาหกรรม อาจฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ควรชะลอการลงทุนไปก่อน" นายณัฐพล กล่าวเสริม

จับตาเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง กดดันแบงก์ หนุนกลุ่มไฟแนนซ์

นายณัฐพล ประเมินว่า มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในระยะถัดไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อต่ำและผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อ กลุ่มไฟแนนซ์ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนทางการเงิน

  • แนะนำ: ทยอยสะสมหุ้นไฟแนนซ์ขนาดใหญ่ เช่น MTC, SAWAD, TIDLOR และเมื่อหุ้นกลุ่มนี้ฟื้นตัว อาจพิจารณาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เช่น AEONTS, JMT, BAM ในลำดับถัดไป

ขณะเดียวกัน แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อ กลุ่มธนาคาร ซึ่งอาจเผชิญแรงขายซ้ำเติมจากช่วงจ่ายเงินปันผล จึงแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มธนาคารไปก่อน หรือขายทำกำไรก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD

หยวนต้า หั่นเป้า SET ปีนี้เหลือ 1,275 จุด กรณีฐาน คาดกำไร บจ. ยังโต

จากปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนที่เพิ่มขึ้น บล.หยวนต้า ได้ทบทวนประมาณการตลาดหุ้นไทยปีนี้ โดยปรับลดเป้าหมายดัชนี SET Index ลง ดังนี้:

  • กรณีฐาน (Base Case - น้ำหนัก 70%): ปรับลดเป้าดัชนีเหลือ 1,275 จุด (จากเดิม 1,450 จุด) คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เติบโต 1.9% และกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 85 บาท (เติบโต 15% YoY) ภายใต้สมมติฐานว่าไทยสามารถเจรจาต่อรองลดผลกระทบทางภาษีจากสหรัฐฯ ได้บางส่วน
  • กรณีแย่ที่สุด (Worst Case - น้ำหนัก 30%): หากการเจรจาไม่เป็นผล คาด GDP โต 1.5%, EPS อยู่ที่ 82 บาท (เติบโต 11% YoY) และเป้าดัชนีอยู่ที่ 1,150 จุด

"แม้เราจะปรับเป้าดัชนีและประมาณการลง แต่สิ่งสำคัญคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ 11-15% ซึ่งเป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบ 4 ปี" นายณัฐพล ชี้

มองแนวรับสำคัญ 1,000 จุด น่าจะรับอยู่

ในเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน บล.หยวนต้า ประเมินว่า แนวรับสำคัญของ SET Index ที่ระดับ 1,000 จุด (บวกลบ) น่าจะเป็นจุดที่รองรับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ ได้แล้ว และเชื่อว่าระดับ 969 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมช่วงวิกฤตโควิด-19 จะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา

ความเสี่ยงสำคัญที่สุดยังคงเป็น สถานการณ์สงครามการค้า หากไม่มีการเจรจาและทวีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และ ใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนกลุ่มลงทุน (Sector Rotation) อย่างสม่ำเสมอ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง