รีเซต

ส่อง 2 หุ้นโรงไฟฟ้า GPSC -GULF คาดการณ์กำไร Q1/67 -แนวโน้มธุรกิจ

ส่อง 2 หุ้นโรงไฟฟ้า GPSC -GULF คาดการณ์กำไร Q1/67 -แนวโน้มธุรกิจ
ทันหุ้น
30 เมษายน 2567 ( 11:13 )
66
ส่อง 2 หุ้นโรงไฟฟ้า GPSC -GULF คาดการณ์กำไร Q1/67 -แนวโน้มธุรกิจ

#GPSC #ทันหุ้น-บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์หุ้นโรงไฟฟ้า 2 บริษัทได้แก่หุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดยคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 และแนวโน้มธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท รวมถึงประเมินราคาเป้าหมายและแนะนำการลงทุน

 

ฝ่ายวิจัยเคจีไอฯ มองหุ้น GPSC โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% QoQ แต่ลดลง 26% YoY แต่หากไม่รวม amortization ของ GLOWกำไรหลักจะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 112% QoQ แต่ลดลง 13% YoY  ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากอุปสงค์การใช้ไฟฟ้ากลับมาจากลูกค้าอุตสาหกรรม และกฟผ. รวมถึงต้นทุนซ่อมบำรุงต่ำลง และ SG&A ต่ำลงตามฤดูกาล ส่วนกำไรที่ลดลง จะมาจากมาร์จิ้นของ IPPs กลับสู่ปกติและต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ สูงขึ้น 

 

ฝ่ายวิจัยเคจีไอฯ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2567-2568 จะเพิ่มขึ้น 27% และ 18% จากมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของ SPP กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ Avaada, กำไรที่ดีขึ้นของพลังงานลมในไต้หวัน (149MWe) สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/67 คาดว่ากำไรหลักจะดีดตัวขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ถูกขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นจาก margin ของSPP (ราคาก๊าซต่ำลงเทียบกับค่า Ft คงที่) และเป็นช่วงหน้าร้อน ช่วง YTD อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 36.4kMW ในเดือนเม.ย. – สูงกว่าภาครัฐคาดการณ์ไว้ที่ 35-36 kMW

 

โดยคงคำแนะนำซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายเดิมที่ 58.50 บาท นอกจากนั้น GPSC ยังมีปัจจัยกระตุ้นในปี 2567 อีกจากผลการดำเนินงานแข็งแกร่งขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังลมในไต้หวัน และการขยายกำลังการผลิตของ Avaada

 

ส่วน GULF ฝ่ายวิจัยเคจีไอฯ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท ลดลง 30% QoQ และลดลง 13% YoY หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าจะมีกำไรหลักอยู่ที่ 4.0 พันล้านบาท ลดลง 5% QoQ  แต่เพิ่มขึ้น 10% YoY โดยกำไรสุทธิที่ลดลง QoQ มาจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และไม่มีรายการกำไรหลับสำรองหนี้สูยจากกรณี ITV 

 

ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดกำไรหลักปี 2567-2569 ของ GULF ลง เพื่อสะท้อนต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น และกำไรอ่อนแอลงจากโครงการ Jackson ในสหรัฐ มองว่าอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและยาวนานขึ้น ขณะที่ราคาก๊าซ Henry Hub อยู่ที่ US$1.5-1.7/mmbtu (-35% ถึง -45% YoY) ทำให้อัตรากำไรน้อยลงของโครงการในสหรัฐ ในไตรมาส 2/67 คาดกำไรหลักน่าจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY อยู่ที่ประมาณ 4.3-4.5 พันล้านบาท

 

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า margin ของ SPP กำลังใกล้กลับสู่ระดับปกติเหมือนในอดีต เนื่องจากการที่การแทรกแซงจากภาครัฐน้อยลงไปมากและราคาก๊าซลดต่ำลง ขณะที่หากมีการเก็บค่าปรับ shortfall รอบสองน่าจะเป็นลาภลอยต่อผู้ผลิตไฟฟ้า ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของ GULF มุ่งเน้นที่ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่ง GULF มองโอกาสในการประมูลโครงการพลังงานทดแทนครั้งที่ 2 ขนาด 3.7GWh หลังจากการประมูลครั้งแรกไปด้วย5.3GWh โดยที่ยังเชื่ออีกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ GULF จะเป็นผู้ชนะการประมูลอีกครั้งด้วยความชำนาญเฉพาะด้านสูงและการใช้ประโยชน์จากบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้ง นอกจากนั้น ธุรกิจธนาคารแบบไร้สาขา และธุรกิจดิจิทัลน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน

 

โดยยังคงแนะนำซื้อหุ้น GULF แต่ได้ปรับลดราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 50 บาท จากเดิมที่ 55 บาท โดยมองว่า GULF มีการเติบโตโดดเด่นในอีกห้าปีข้างหน้าเนื่องจาก การที่มีความชำนาญเฉพาะทางสูง, มีสัมพันธภาพที่ดีกับบริษัทร่วมทุนและมีงบดุลแข็งแกร่ง ทั้งนี้ คิดว่าหุ้น GULF เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาการเติบโตราบรื่นปานกลางด้วยความโดดเด่นสูงทั้ง ROE และ ROA

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง