ลุ้นเคาะ ปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคม ม.33
สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จัดการประชุม รับฟังความคิดเห็น "การเพิ่มสิทธิประโยชน์เมื่อปรับเพดานค่าจ้าง" โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานการเปิดประชุม พร้อมด้วยคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง - องค์การลูกจ้าง ผู้แทนจากพรรคการเมือง นายจ้างและลูกจ้างทั่วไป เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กองทุนประกันสังคมจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนใช้จ่ายสำหรับให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นเวลา 34 ปีแล้ว ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ได้รับบำนาญจากสำนักงานประกันสังคม จำนวน 792,149 คน ซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญตลอดชีวิต ทั้งนี้การจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมได้กำหนดเพดานค่าจ้างขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 ไว้ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 และไม่เคยมีการแก้ไข ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 34 ปี สำนักงานประกันสังคมได้คำนึงถึงความเพียงพอและความมั่นคงของสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตน จึงได้ดำเนินการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงการปรับเพดานค่าจ้างในรูปแบบขั้นบันได 3 ครั้ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อนายจ้างและผู้ประกันตนโดยมีรายละเอียด ดังนี้ ช่วงที่ 1 ในปี 2569 - 2571 ปรับเป็น 17,500 บาท ,ช่วงที่ 2 ในปี 2572 - 2574 ปรับเป็น 20,000 บาท
และขั้นสุดท้าย ในปี 2575 เป็นต้นไป ปรับเป็น 23,000 บาท
ซึ่ง สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวนเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ…. ผ่านระบบกลางกฎหมาย และเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม ตั้งแต่วันที่ 1 – 15 ธันวาคม 67 ซึ่งขณะนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นเข้ามาแล้วกว่า 2 แสนราย
ด้าน นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เผยว่า สำนักงานประกันสังคมได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่ไม่ได้อิงกับฐานเพดานค่าจ้าง ให้แก่ผู้ประกันตนตลอดมา เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจเช่น กรณีคลอดบุตร ในปี พ.ศ. 2538 ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินจำนวน 4,000 บาท/ครั้ง ในปัจจุบันเพิ่มเป็นเงินจำนวน 15,000 บาท/ครั้ง เงินสงเคราะห์บุตร ในปี พ.ศ. 2541 ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินจำนวน 150 บาท/เดือน/บุตร 1 คน สูงสุด 2 คน ในปัจจุบันเพิ่มเป็น 800 บาท/เดือน/บุตร 1 คน สูงสุด 3 คน และในกรณีตาย เงินค่าทำศพ ในปี พ.ศ. 2538 จ่ายเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท ปัจจุบันเงินเพิ่มเป็นค่าทำศพ 50,000 บาท เป็นต้น
ส่วนสิทธิประโยชน์ที่อิงกับฐานเพดานค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็น เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีว่างงาน เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต และเงินบำเหน็จ - บำนาญชราภาพ เมื่อไม่มีการปรับฐานเพดานค่าจ้างทำให้ผู้ที่มีค่าจ้างมากกว่า 15,000 บาท ถูกจำกัดสิทธิ์ประโยชน์ไว้ และไม่สอดคล้องกับค่าจ้างจริงในปัจจุบัน จึงสมควรปรับปรุงฐานเพดานค่าจ้างให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งการประชุมรับฟังความคิดในวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ประกันตนต่อไปในอนาคต