รีเซต

ไข้หวัดใหญ่ไทย 2567: สถานการณ์ล่าสุด วัคซีนยังเอาอยู่?

ไข้หวัดใหญ่ไทย 2567: สถานการณ์ล่าสุด วัคซีนยังเอาอยู่?
TNN ช่อง16
21 ตุลาคม 2567 ( 20:22 )
9
ไข้หวัดใหญ่ไทย 2567: สถานการณ์ล่าสุด วัคซีนยังเอาอยู่?

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสสูง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอและบี ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่พบการกลายพันธุ์ของยีนที่มีนัยสำคัญในการดื้อยา แต่มาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดยังคงเป็นสิ่งจำเป็น


สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในไทย: ข้อมูลทางสถิติ


จากข้อมูลล่าสุดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 พบว่าในประเทศไทยมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A(H1N1) pdm09 มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 41.25% รองลงมาคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) 32.24% และชนิด B (Victoria) 26.51% ซึ่งการแพร่ระบาดนี้ไม่ได้เกิดเพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกับการแพร่ระบาดในระดับโลก โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A(H3N2) มีสัดส่วนสูงที่สุดในระดับโลก คิดเป็น 53.23% ของการระบาดทั้งหมด


จากการวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมทั้งจีโนม พบว่าสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่แพร่ระบาดในไทยยังคงสอดคล้องกับสายพันธุ์วัคซีนที่องค์การอนามัยโลกประกาศสำหรับซีกโลกใต้ปี 2024 ซึ่งวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยนั้นได้รับการออกแบบให้สามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการกลายพันธุ์บางส่วนในสายพันธุ์ A(H1N1) pdm09 ก็ตาม


ความสำคัญของการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์


แม้ว่าข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะระบุว่าไม่พบการกลายพันธุ์ของยีนที่มีนัยสำคัญในการดื้อยาในไข้หวัดใหญ่ชนิด A(H3N2) และไข้หวัดใหญ่ชนิด B แต่ในสายพันธุ์ A(H1N1) pdm09 พบการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง H275Y ซึ่งบ่งชี้ถึงการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ในบางสายพันธุ์ แต่การพบเชื้อที่ดื้อยานี้ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยพบเพียง 6 สายพันธุ์ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน 2567 ซึ่งการเฝ้าระวังและการตรวจสอบเชื้อดื้อยาอย่างต่อเนื่องจึงมีความสำคัญมากในการวางมาตรการควบคุมการระบาดและรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ


การเฝ้าระวังและความพร้อมในการรับมือ


การเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสามารถวางแผนการพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถจัดการกับปัญหาการดื้อยาได้อย่างทันท่วงที สถิติตัวอย่างการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของยีนจากองค์การอนามัยโลกในช่วงเดือนกันยายน 2567 ระบุว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H3 ไม่พบการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้การดื้อยาในตำแหน่งสำคัญ เช่น E119I/V และ R292K ขณะที่เชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด B ไม่พบการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้การดื้อยาที่ตำแหน่ง E119A/D/G/V และ R152K ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพของการใช้ยาต้านไวรัสที่ยังคงมีอยู่


วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่: ปัจจัยสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาด


ข้อมูลที่น่าพิจารณาคือ วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยในปี 2566 ซึ่งเป็นวัคซีนสายพันธุ์ A/Sydney/5/2021 (H1N1) pdm09-like virus มีความแตกต่างเล็กน้อยจากสายพันธุ์ A/Victoria/4897/2022 (H1N1) pdm09-like virus ที่พบระบาดในช่วงปี 2566-2567 อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนี้ไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการป้องกันโรคอย่างมีนัยสำคัญ โดยวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยยังสามารถป้องกันเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดได้ดี


บทสรุป: มาตรการป้องกันที่ยั่งยืน


แม้ว่าการกลายพันธุ์ของไวรัสจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา แต่การเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย การรักษาระบบสาธารณสุขให้พร้อมรับมือกับการระบาดและการปรับเปลี่ยนวัคซีนตามสายพันธุ์ที่ระบาดจะช่วยลดผลกระทบของโรคและป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนประจำปี รวมถึงการปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันพื้นฐาน เช่น การล้างมือบ่อย ๆ และการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ทั้งนี้เพื่อป้องกันตนเองและสังคมจากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง