รัฐบาลทรัมป์เริ่มปลดพนักงานรัฐบาลกลางแล้วหลายพันคน

รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มกระบวนการปลดพนักงานรัฐบาลกลางจำนวนหลายพันคนแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อพรรคเดโมแครต ท่ามกลางภาวะที่รัฐบาลกลางสหรัฐยังคง “ชัตดาวน์” หรือปิดทำการบางส่วนอยู่ในขณะนี้
รัสเซล วอตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณของทำเนียบขาว ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 ตุลาคมว่า “การปลดพนักงานได้เริ่มขึ้นแล้ว” โดยใช้คำย่อ “RIF” ซึ่งหมายถึง “reductions in force” หรือ “การลดจำนวนพนักงาน” อย่างเป็นทางการ
โฆษกของสำนักงานยืนยันว่า กระบวนการปลดพนักงานได้เริ่มขึ้นจริงและมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งรัฐบาลเปิดเผยว่า มี 7 หน่วยงานของรัฐบาลกลางที่ได้เริ่มปลดพนักงานรวมกันกว่า 4,000 คน
ทรัมป์ได้ขู่หลายครั้งว่าจะใช้วิกฤตชัตดาวน์เป็นเครื่องมือในการผลักดันเป้าหมายระยะยาวของเขาในการลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลาง ซึ่งตามกฎหมาย รัฐบาลต้องแจ้งพนักงานล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วันก่อนจะมีการปลดออกจากตำแหน่ง
หลังจากโพสต์ของวอตต์ออกมา หน่วยงานสำคัญอย่างกระทรวงการคลัง (Treasury) และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐฯ (HHS) ก็ยืนยันว่าพวกเขาได้เริ่มส่งหนังสือแจ้งการเลิกจ้างให้พนักงานแล้ว ส่วนกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่ถูกจัดเป็น “จำเป็นต่อภารกิจ” ก็ประกาศว่าจะปลดพนักงานบางส่วนในหน่วยงานย่อยด้านความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐาน (CISA) ด้วย
สหภาพแรงงานใหญ่ 2 แห่ง คือ สมาพันธ์พนักงานรัฐบาลกลางแห่งอเมริกา (AFGE) และ สหพันธ์แรงงานแห่งอเมริกาและสภาคองเกรสขององค์กรอุตสาหกรรม (AFL-CIO) ได้ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อคัดค้านการปลดพนักงานในช่วงชัตดาวน์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำที่ ผิดกฎหมาย
ในเอกสารของกระทรวงยุติธรรมซึ่งยื่นต่อศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งระงับชั่วคราว ได้เปิดเผยรายชื่อหน่วยงานและจำนวนพนักงานที่จะได้รับผลกระทบเบื้องต้น ซึ่งคาดว่า มีพนักงานราว 4,600 คนจะได้รับหนังสือแจ้งปลด (RIF notice) ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม
จากเอกสารดังกล่าวพบว่ากระทรวงการคลัง (Treasury) จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีพนักงาน 1,446 คน ที่ได้รับหนังสือเลิกจ้าง
กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) จะปลดพนักงานระหว่าง 1,100-1,200 คน
กระทรวงศึกษาธิการ (Education) และกระทรวงการเคหะและพัฒนาเมือง (HUD) จะปลดพนักงานอย่างน้อย 400 คนต่อหน่วยงาน
กระทรวงพาณิชย์ (Commerce), กระทรวงพลังงาน (Energy), กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) จะปลดพนักงานระหว่าง 176-315 คนต่อหน่วยงาน
ส่วนที่สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) มีพนักงานราว 20-30 คนที่ได้รับจดหมายแจ้งว่า “อาจจะถูกปลดในอนาคต”
ด้านทีมกฎหมายรัฐบาลแย้งในศาลว่า สหภาพแรงงานไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการปลดพนักงานจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการขอคำสั่งระงับชั่วคราว
รัฐบาลยังให้เหตุผลว่า หากศาลออกคำสั่งห้าม จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการองค์กรของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยืนยันว่า หน่วยงานรัฐบาลมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการจัดสรรกำลังคนของตนเองอย่างกว้างขวาง
โดยทั่วไปแล้วในภาวะชัตดาวน์ พนักงานที่ถูกพักงานจะได้กลับเข้าทำงานเมื่อรัฐบาลเปิดทำการอีกครั้ง และได้รับค่าจ้างย้อนหลังทั้งหมด แต่ครั้งนี้รัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณว่าอาจไม่จ่ายค่าจ้างย้อนหลัง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนนี้รัฐบาลกลางปิดทำการบางส่วนมานานกว่า 10 วัน หลังสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณ
การชัตดาวน์ครั้งนี้ทำให้พนักงานรัฐบาลกลางประมาณ 40% หรือราว 750,000 คน ต้องหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง โดยแบ่งเป็นพนักงานที่ถูกพักงาน (furloughed) และพนักงานจำเป็นที่ยังคงต้องทำงานโดยไม่ได้รับเงินชั่วคราว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
