หุ้นเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมโลกยุคใหม่
“ในวิกฤตยังมีโอกาส” เป็นคำกล่าวที่ยังใช้ได้เสมอ เช่นเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดลงทุนได้รับแรงกดดันจากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเงินเฟ้อทั่วทุกมุมโลก มาตรการควบคุมโควิด-19 ของจีนที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก รวมถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจโลกซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
หากพิจารณาจากผลตอบแทนดัชนี NASDAQ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี 2022 ที่ปรับตัวลงถึง 26% โดยปรับลดลงมากกว่าดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI All Countries World และ ดัชนี S&P 500 ถึง 10% ที่ได้รับผลกระทบจากการเร่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ จากผลตอบแทนติดลบที่กล่าวข้างต้น KBank Private Banking จึงได้ตั้งข้อสังเกต และแบ่งกลุ่มบริษัทเทคในตลาด ออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้หรือทำกำไรได้น้อย
– กลุ่มบริษัทที่ไม่ได้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยในช่วงก่อนหน้า ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวสูงขึ้นมากจากความคาดหวังของนักลงทุนต่อการที่บริษัทเหล่านี้นำนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้แนวโน้มคาดการณ์อัตราผลกำไรของหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดด
แต่หลังเปิดเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้เป็นเหมือนที่คาดไว้ มุมมองระยะสั้นในการเติบโตแบบ Super Growth ของหุ้นกลุ่มนี้อาจหมด Cycle หรือว่าจบรอบลงไปแล้ว ทำให้หุ้นกลุ่มนี้เจอภาวะฟองสบู่แตก เช่น บริษัทที่อยู่ในกลุ่มกองทุน ETF ที่เน้นลักษณะ Single Theme ไม่ว่าจะเป็น EV car หรือ จีโนมิกส์ เป็นต้น
2. กลุ่มที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง (Quality Growth)
– กลุ่มบริษัทที่มีรายได้และการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ มีกลยุทธ์การตลาดโดดเด่น อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ถูกเทขายเป็นจำนวนมาก จากความตื่นตระหนกต่อปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด
โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถในการเติบโตจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงอำนาจการกำหนดราคา หรือ Pricing Power อย่างบริษัทผู้นำในด้าน software และ hardware ต่างๆ เช่น บริษัท Apple Google หรือ Microsoft เป็นต้น
สำหรับการปรับลงของราคาหุ้นกลุ่ม Quality Growth ครั้งนี้ KBank Private Banking มองว่าเป็นโอกาสทองของนักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความยั่งยืนสูง เช่น กลุ่มของหุ้นเทคฯ ที่จัดอยู่ใน Quality Growth และมี Pricing Power ถือเป็นโอกาสในวิกฤตที่จะเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่นเดียวกับ Warren Buffet ที่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เข้าช้อนซื้อหุ้น Apple เป็นมูลค่าสูงถึง 600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
โดยมีมุมมองว่าบริษัทยังคงสามารถถือครองเงินสดได้อยู่ในระดับสูง รวมถึงสินค้าต่างๆ ของ Apple ได้กลายเป็น “ไลฟ์สไตล์” ของผู้บริโภคในยุคนี้ไปแล้ว เช่นเดียวกันกับการปรับลงของราคาหุ้น Microsoft ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจของ Microsoft ลดน้อยลงเลย เนื่องจากบริษัทกำลังพัฒนาทั้งระบบและอุปกรณ์เพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการให้บริการด้าน Metaverse ทั้งในเรื่อง gaming ไปจนถึง healthcare และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญของ Megatrends ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาว ในช่วงนี้ อาจเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มมองหาโอกาสทางการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีในราคาที่ถูก ก็นับว่าเป็นจังหวะเริ่มต้นที่ดีได้เช่นกัน
ที่มา นที ดำรงกิจการ
ภาพประกอบ พิกซาเบย์ ,ธนาคารกสิกรไทย