Yum! จับมือ NVIDIA นำ AI ปฏิวัติร้านฟาสต์ฟู้ด! l การตลาดเงินล้าน

Yum! Brands บริษัทแม่ของ Taco Bell, Pizza Hut, KFC และ Habit Burger Grill กำลังก้าวไปสู่อนาคตของธุรกิจร้านอาหารด้วยความร่วมมือครั้งใหญ่กับ NVIDIA โดยพันธมิตรนี้ถูกประกาศในงานประชุมนักพัฒนา GTC ของ NVIDIA ที่เมืองซานโฮเซ่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเร่งการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในเครือข่ายร้านอาหารของ Yum! ทั่วโลก ตั้งแต่ระบบสั่งอาหารแบบไดร์ฟทรู ไปจนถึงการบริหารจัดการแรงงานและกระบวนการหลังบ้าน
ในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเผชิญกับต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และความต้องการด้านความรวดเร็วและความสะดวกสบายที่สูงขึ้น เทคโนโลยีจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่ทางเลือก
Joe Park ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัลและเทคโนโลยีของ Yum! เปิดเผยว่า ยอดขายจากช่องทางดิจิทัลคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 ของรายได้รวมของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 19 ในปี 2019 ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการเครื่องมือดิจิทัลและ AI เข้ากับระบบของแบรนด์ต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายของบริษัทที่มีมากกว่า 61,000 แห่งทั่วโลก
หนึ่งในโครงการสำคัญของ Yum! และ NVIDIA คือการพัฒนา "Voice AI" ระบบสั่งอาหารผ่านเสียงที่ใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติและ AI บทสนทนา เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารผ่านไดร์ฟทรูและคอลเซ็นเตอร์ได้สะดวกขึ้น ระบบนี้สามารถเข้าใจคำสั่ง ตอบกลับลูกค้า และเสนอเมนูเพิ่มเติม (upselling) ได้แบบเรียลไทม์
ผลการศึกษาจาก Intouch Insight ในปี 2024 พบว่า ลูกค้าใช้เวลาประมาณ 5 นาที 29 วินาที ในไดร์ฟทรูของร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วไป แต่จากการทดลองพบว่า AI สามารถช่วยลดเวลานี้ได้ถึง 29 วินาที ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในแง่ของความพึงพอใจของลูกค้าและการจัดการปริมาณคำสั่งซื้อ
Park ย้ำว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่พนักงาน แต่เป็นตัวช่วยในการจัดการงานที่ซ้ำซาก เพื่อให้ทีมงานสามารถมุ่งเน้นไปที่การให้บริการที่มีคุณภาพและการบริหารจัดการร้านได้ดียิ่งขึ้น
Yum! Brands ไม่ได้แค่เพิ่ม AI ลงในระบบเดิม แต่กำลังสร้างรากฐานเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งผ่าน Byte by Yum! แพลตฟอร์มที่รวมศูนย์ระบบ POS (จุดขาย), การบริหารสินค้าคงคลัง, การจัดตารางพนักงาน, การจัดส่ง และข้อมูลลูกค้าเข้าไว้ด้วยกันด้วยการใช้ NVIDIA AI Enterprise และ NIM microservices ซึ่งเป็นโมเดล AI สำเร็จรูปที่สามารถปรับแต่งและใช้งานได้ในอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอาหาร ระบบเหล่านี้สามารถประมวลผล AI ได้แบบเรียลไทม์ในสถานที่จริง ลดความล่าช้าและการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์
นอกจากนี้ NVIDIA ยังนำเทคโนโลยี computer vision มาใช้วิเคราะห์ฟุตเทจจากกล้องในร้าน เช่น การตรวจสอบว่าพนักงานส่งอาหารให้ลูกค้าถูกต้องตามออเดอร์หรือไม่ ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดและของเสีย อีกทั้งยังสามารถระบุปัญหาคอขวดในกระบวนการทำอาหารหรือไดร์ฟทรู และเสนอแนวทางแก้ไขแบบเรียลไทม์
ขณะนี้ Yum! กำลังทดสอบ AI ในร้าน Taco Bell และ Pizza Hut บางแห่งในสหรัฐฯ และมีแผนขยายไปยัง 500 สาขา รวมถึง KFC และ Habit Burger Grill ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025
Yum! ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา AI เพื่อช่วยผู้จัดการร้าน โดยใช้ข้อมูลประวัติการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมปัจจุบันเพื่อแนะนำแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม
สำหรับอุตสาหกรรมร้านอาหารบริการด่วน (QSR) กำลังกลายเป็นสนามทดสอบของเทคโนโลยี AI โดยแบรนด์ใหญ่อย่าง McDonald’s, Wendy’s, White Castle และ Panda Express ต่างก็ทดลองใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบริษัทจะประสบความสำเร็จ เช่น McDonald’s ที่ยุติการทดลองใช้ AI กับ IBM ในปี 2023 เนื่องจากปัญหาด้านเทคนิคและข้อร้องเรียนจากลูกค้า
สิ่งที่ทำให้ Yum! แตกต่างคือแนวทางที่มุ่งเน้นการผสาน AI เข้ากับระบบเดิมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โปร่งใส และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการติดตั้งระบบแล้วปล่อยให้ทำงานไปเอง
ดังนั้นการร่วมมือกันของ Yum! และ NVIDIA เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนโฉมธุรกิจร้านอาหาร ไม่ใช่แค่เพื่อความเร็วขึ้นของไดร์ฟทรู แต่เพื่อสร้าง "ร้านอาหารอัจฉริยะ" ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์
อนาคตของวงการ QSR จะถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทที่นำ AI มาปรับใช้เชิงกลยุทธ์ และผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลงก่อนจะได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน