รีเซต

สหรัฐฯ ปลดคนทะลุ 1 ล้าน บริษัทเทคหัวแถว

สหรัฐฯ ปลดคนทะลุ 1 ล้าน บริษัทเทคหัวแถว
TNN ช่อง16
20 พฤศจิกายน 2568 ( 10:49 )

ข้อมูลจาก “ชาเลนเจอร์, เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส” (Challenger, Gray & Christmas) ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคมปีนี้ บริษัทในสหรัฐฯ ประกาศเลิกจ้างพนักงานไปแล้ว 1.1 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ราว 665,000 ตำแหน่ง ถือเป็นปีที่มีการปลดคนมากที่สุดตั้งแต่วิกฤตโควิดในปี 2563 ซึ่งมีการปลดคนมากกว่า 2.3 ล้านตำแหน่ง และตัวเลขล่าสุดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551-2552 

ปัจจัยหลัก ๆ ที่ผลักดันให้ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการปลดคน เนื่องจากบางอุตสาหกรรมถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนหลังการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่วิกฤตโควิด ประกอบกับการที่บริษัทต่าง ๆ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้มากขึ้น การใช้จ่ายของทั้งผู้บริโภคและองค์กรต่าง ๆ ชะลอตัวลง และต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดและระงับการจ้างงานใหม่ชั่วคราว ขณะที่ผู้ถูกเลิกจ้างมีแนวโน้มหางานใหม่ได้ยากขึ้น

 

การปรับลดจำนวนพนักงานในสหรัฐฯ เกิดขึ้นในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่อยู่แถวหน้าในกระแสปลดคน คือ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งทยอยประกาศลดพนักงานเป็นระยะ บางบริษัทออกประกาศหลายรอบ ข้อมูลจากเว็บไซต์ Layoff.fyi ที่ติดตามเรื่องการปรับลดพนักงานทั่วโลก พบว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มีบริษัทเทคโนโลยีประมาณ 218 แห่งที่เข้าร่วมกระแสปรับลดจำนวนพนักงานในปีนี้ ส่งผลให้มีผู้คนราว 112,732 คน ต้องตกงาน ขณะที่ตลอดทั้งปี 2567 จำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอยู่ที่ราว 152,922 คน

สำหรับสาเหตุที่นำไปสู่การเลิกจ้างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาจากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้าน AI ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษี ทำให้หลายบริษัทต้องปรับลดต้นทุน รวมทั้งจัดสรรกำลังคนใหม่เพื่อให้รองรับการพัฒนาด้าน AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่กำลังมีความสำคัญมากขึ้นในขณะนี้

สอดคล้องกับข้อมูลของชาเลนเจอร์ฯ ที่ชี้ว่า บริษัทด้านเทคโนโลยีเป็นผู้นำในการปรับลดตำแหน่งงานมากสุดในส่วนของภาคเอกชน ตามด้วยธุรกิจค้าปลีกและภาคบริการ โดยการลดต้นทุนเป็นสาเหตุหลักของการปรับลดพนักงาน ตามด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI ขณะที่การปรับลดเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้ภารกิจภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) เป็นอีกสาเหตุหลักของการลดจำนวนพนักงานในปีนี้

น่าสนใจว่า บริษัทเทคโนโลยีที่เข้าร่วมกระแสปรับลดพนักงานหลายแห่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างก็มีจำนวนมากเช่นกัน อย่างกรณีของ “แอมะซอน” ที่มีมูลค่าตลาด (market cap) กว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ เตรียมแผนลดพนักงานมากถึง 30,000 คนในปีนี้ นับเป็นการปรับลดพนักงานครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร สำหรับพนักงานที่น่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายอุปกรณ์ และ “แอมะซอน เว็บ เซอร์วิเซส” (AWS) ที่ให้บริการด้านคลาวด์ 

บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ “อินเทล” เป็นอีกแห่งที่มีแผนลดจำนวนพนักงานลง 24,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้จำนวนพนักงานของบริษัทลดลงเหลือ 75,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ จากเกือบ 100,000 คน ทั้งนี้ การเลิกจ้างจะครอบคลุมในสหรัฐฯ เยอรมนี คอสตาริกา และโปแลนด์ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามอย่างหนักที่จะไล่ตามคู่แข่งอย่าง “อินวิเดีย” (Nvidia) และ AMD ท่ามกลางความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ที่ชะลอตัวลงทั่วโลก

“ไมโครซอฟท์” บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาด 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ก็เตรียมลดพนักงานลง 15,000 คน โดยประกาศรอบแรก 6,000 คน เป็นการปรับลดคนในหลายแผนก และรอบ 2 จะปรับลดเพิ่มอีก 9,000 คน ครอบคลุมแผนกวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปรับโครงสร้างองค์กรที่จะมุ่งเน้นการพัฒนา AI ควบคู่ไปกับการลดต้นทุน หลังจากบริษัททุ่มงบด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI จำนวนมาก 

ส่วน “เมตา แพลตฟอร์มส์” บริษัทแม่ของ “เฟซบุ๊ก” มีแผนลดพนักงานรวม 4,200 ตำแหน่ง โดยช่วงต้นปีวางแผนจะลดคนราวร้อยละ 5 หรือประมาณ 3,600 ตำแหน่ง และเมื่อเดือนตุลาคมประกาศปรับลดเพิ่มเติมอีก 600 คน ในแผนก AI เพราะเทอะทะเกินไป ด้าน “ซิสโก้”, “เซลส์ฟอร์ซ”, “กูเกิล” และ “ออราเคิล” ก็มีแผนลดจำนวนพนักงานหลายพันคนเช่นกัน ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีก็มีแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่เช่นกัน อาทิ UPS (United Parcel Service) บริษัทด้านโลจิสติกส์รายใหญ่ที่เตรียมลดพนักงาน 48,000 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างองค์กร และ “ฟอร์ด” ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำวางแผนปลดพนักงานสูงสุด 13,000 ตำแหน่ง


ตัวเลขการเลิกจ้างดังกล่าวสะท้อนว่าบริษัทอเมริกันกำลังร่วมกระแสปลดคนครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า ในที่สุด AI ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์อย่างรวดเร็วแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ AI แบบรู้สร้าง (generative AI) จะมีบทบาทมากขึ้น แต่การประกาศเลิกจ้างพนักงานของหลายบริษัท อาทิ แอมะซอน, UPS และห้างทาร์เก็ต (Target) ก็ไม่ได้มีสาเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว บริษัทเหล่านี้กำลังพยายามลดขนาดองค์กร ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ 

อย่างกรณีของ “แอมะซอน” การลดจำนวนพนักงานเกิดขึ้นเพราะบริษัทจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด โดยในปี 2562-2563 “แอมะซอน” มีจำนวนพนักงานทั่วโลก 1.3 ล้านคน ซึ่งเป็นการจ้างงานเพิ่ม 2 เท่าจากปีก่อนหน้า เพื่อรองรับความต้องการอี-คอมเมิร์ซและระบบคลาวด์ที่พุ่งสูงในช่วงที่ต้องปิดเมือง ก่อนที่จำนวนพนักงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านคนในปี 2564 และขยับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 1.55 ล้านคนในปี 2567 ปัจจุบัน บริษัทต้องการกลับมาบริหารให้เหมือนกับสตาร์ตอัปขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ส่วนกรณีของ UPS บริษัทได้ปรับลดการรับงานจัดส่งพัสดุให้ “แอมะซอน” ลง เพื่อหันไปมุ่งเน้นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากกว่า เช่น ธุรกิจดูแลสุขภาพ รับคืนสินค้า และบริการสำหรับธุรกิจด้วยกัน (Business-to-Business) ทำให้ใช้บุคลากรน้อยลง

แม้หลาย ๆ บริษัทจะอ้างถึงเหตุผลเกี่ยวกับ AI ทำให้มีความจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงาน แต่ CNBC สำรวจมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญหลายราย ระบุว่า มีหลักฐานน้อยมากที่ยืนยันถึงปรากฏการณ์ที่ AI มาแทนที่มนุษย์ในระดับที่ทำให้มีการปลดคนครั้งใหญ่ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายและมีต้นทุนสูง อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่บางบริษัทอาจกำลังฟอกตัวโดยอ้างถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI เพื่อเบี่ยงเบนเกี่ยวกับความผิดพลาดในการบริหารและข้ออ้างที่จะลดต้นทุนแบบเดิม ๆ

ข้อมูลจาก “ชาเลนเจอร์ฯ” ระบุว่า การปรับลดพนักงานในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นทำสถิติในรอบหลายปี ทั้งที่โดยทั่วไปแล้ว ไตรมาส 4 เป็นช่วงเวลาที่นายจ้างไม่ค่อยประกาศเลิกจ้าง โดยการประกาศลดจำนวนพนักงานในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 153,074 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 175 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2546 เมื่อเทียบเดือนตุลาคมด้วยกัน สำหรับการประกาศปลดคนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในเดือนเดียวกัน อยู่ที่ 33,281 คน เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากเดือนกันยายน 

ทั้งนี้ ตัวเลขการเลิกจ้างรายเดือนของชาเลนเจอร์ฯ อาจยังมีความผันผวน และอัตราการเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วน่าจะยังไม่ปรากฏในการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานในระดับรัฐ ขณเดียวกัน รายงานฉบับนี้ออกมาในช่วงที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง ท่ามกลางการคาดการณ์แนวโน้มเรื่องดอกเบี้ยของ “เฟด” หลังภาวะชัตดาวน์ หรือการปิดทำการของรัฐบาลกลางที่เพิ่งยุติลง 

ขณะที่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะท้อนถึงความกังวลของภาคธุรกิจเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เผชิญความไม่แน่นอน ท่ามกลางมาตรการกำแพงภาษีที่ทำให้อัตราภาษีศุลกากรแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 100 ปี รวมถึงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการปลดคนครั้งใหญ่ของแต่ละบริษัท ยังมีความน่ากังวลอีกเรื่องที่กำลังปรากฏเค้าลาง นั่นคือ การเลิกจ้างพนักงานจำนวนน้อยกว่า 50 คน ซึ่งกลายเป็นรูปแบบการเลิกจ้างที่พบบ่อยที่สุดตลอดทั้งปี 2568 โดยคิดเป็นร้อยละ 51 ของการแจ้งเลิกจ้างล่วงหน้าภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Worker Adjustment and Retraining Notification Act เทียบกับในปี 2558 ที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 38 การเลิกจ้างพนักงานจำนวนน้อยเพื่อไม่ให้เป็นเป้าความสนใจ แต่ดำเนินการบ่อยครั้งมากขึ้น จะกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับแรงงานในปีหน้า

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง