รักษาการผู้บริหาร NASA ยืนยันสหรัฐฯ ส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ก่อนจีนในการแข่งขันไปดวงจันทร์ครั้งใหม่

การแข่งขันด้านอวกาศระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งมนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์ หลังผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษนับจากโครงการอะพอลโล
แต่วันนี้ NASA ต้องเผชิญทั้งแรงกดดันด้านเวลา งบประมาณ และคู่แข่งที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว การแสดงจุดยืนครั้งใหม่ของผู้บริหาร NASA จึงสะท้อนความท้าทายของชาติที่ต้องรักษาความเป็นผู้นำในอวกาศ โดยล่าสุดฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) หัวหน้ารักษาการ NASA กล่าวต่อพนักงานภายในว่า หน่วยงานตั้งเป้าส่งยานไปดวงจันทร์ให้ได้ก่อนจีน
สมดุลระหว่างความปลอดภัยกับนวัตกรรม
ฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) อธิบายว่า NASA ต้องสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความก้าวหน้าทางนวัตกรรม หากมัวแต่กังวลกับความเสี่ยงจนไม่กล้าเดินหน้า โครงการสำคัญก็จะหยุดชะงัก
โดยเขายกตัวอย่าง FAA และกระทรวงคมนาคมที่มีแนวคิดคล้ายกัน แต่ต้องหาทางไม่ให้ความปลอดภัยกลายเป็นอุปสรรค ข้อความนี้เขากล่าวต่อหน้าพนักงานร่วมกับ อมิต กษัตริย์ (Amit Kshatriya) ผู้ช่วยผู้บริหาร NASA คนใหม่ เพื่อเน้นย้ำทิศทางใหม่ขององค์กร
“อย่าปล่อยให้ความปลอดภัยเป็นศัตรูของความก้าวหน้า” เพราะแม้ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ควรหยุดทุกอย่างเพราะความกลัว เขามองว่า NASA ต้องเดินหน้าเชิงรุก ไม่ใช่เพียงแต่ป้องกันความเสี่ยงอย่างเดียว คำพูดนี้สะท้อนถึงการผลักดันครั้งใหญ่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอวกาศ
ความกังวลด้านความปลอดภัย
ด้านโฆษกขององค์การ NASA ยืนยันว่าหน่วยงานยังคงยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อชีวิตนักบินอวกาศและความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ การส่งสัญญาณสองด้านนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการทำงานที่ต้อง “เร็วแต่ปลอดภัย” พร้อมกัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของโครงการอวกาศขนาดใหญ่ การตัดสินใจจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกขั้นตอนล้วนมีความเสี่ยงมหาศาล
ความวุ่นวายภายในองค์กรของ NASA
การออกมาแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ของฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลในองค์กร หลังรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามามีอำนาจ NASA ต้องเผชิญการตัดงบประมาณและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดขนาดรัฐบาลกลาง การลดทรัพยากรเช่นนี้ทำให้อนาคตของโครงการสำคัญถูกตั้งคำถาม ความไม่แน่นอนนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันผู้บริหารและพนักงาน NASA ให้ต้องพิสูจน์ศักยภาพของตน
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์เสนอปรับลดงบ NASA กว่า 6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 201,000 ล้านบาท คิดเป็นราว 24% ของงบประมาณทั้งหมด การตัดงบครั้งใหญ่นี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าโครงการใหญ่จะล่าช้า
อย่างไรก็ตาม ฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) ยืนยันว่าโครงการอาร์เทมิสยังเดินหน้าต่อไป แต่จำเป็นต้องลดต้นทุนและใช้งบอย่างคุ้มค่า เขาย้ำว่านี่คือภารกิจระดับชาติที่ไม่สามารถปล่อยให้สะดุดได้
นาซากำลังถูกวิจารณ์ว่าทำงานล่าช้า
ฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) เผยว่าเขารู้สึกโกรธอย่างมากเมื่อเห็นว่า NASA ถูกวิจารณ์และถูกตั้งคำถามต่อหน้าวุฒิสภา ว่าสหรัฐฯ จะเอาชนะจีนได้จริงหรือไม่ในการกลับไปดวงจันทร์ เขาตอบโต้อย่างชัดเจนว่า NASA จะไปถึงดวงจันทร์ก่อนจีน และจะทำด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด
โดยคำพูดที่หนักแน่นนี้เป็นเหมือนการปลุกขวัญพนักงานในช่วงที่องค์กรถูกกดดันหนัก เขาต้องการให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้
หัวใจสำคัญของ NASA ตอนนี้คือโครงการ อาร์เทมิส (Artemis) ที่จะส่งนักบินอวกาศกลับดวงจันทร์อย่างสม่ำเสมอ ก่อนขยายไปสู่ดาวอังคารในอนาคต
แต่ฌอน ดัฟฟี่ (Sean Duffy) เองก็ยอมรับว่า NASA เผชิญแรงกดดันด้านเวลาและทรัพยากรสูงมาก เพราะทุกอย่างต้องทำ “ให้ดี รวดเร็ว และปลอดภัย” พร้อมกัน นี่คือความท้าทายที่ใหญ่กว่าการแข่งขันอวกาศยุคแรก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ต้องแข่งกับเวลา แต่ยังต้องแข่งกับประเทศอื่น ๆ ที่เร่งแผนของตนเองเช่นกัน
ความก้าวหน้าของจีน
ในตอนนี้จีนแสดงพัฒนาการด้านอวกาศที่รวดเร็วและมั่นคง ภายในไม่กี่ปีสามารถทดสอบยานลงจอดไร้มนุษย์บนดวงจันทร์ รวมถึงจรวดรุ่นใหม่สำหรับภารกิจสำรวจ จีนประกาศชัดว่าจะส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ภายในปี 2030
นอกจากนี้ยังมีแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บนดวงจันทร์ร่วมกับรัสเซีย เพื่อใช้พลังงานสำหรับฐานถาวร ความทะเยอทะยานเหล่านี้ทำให้จีนถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่จริงจังที่สุดของสหรัฐฯ
การแข่งขันเพื่อกลับไปสู่ดวงจันทร์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพิสูจน์เทคโนโลยี แต่คือการแสดงพลังของประเทศต่อเวทีโลก สำหรับองค์การ NASA แล้ว ภารกิจอาร์เทมิส คือ ก้าวสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของสหรัฐฯ ในอวกาศ หากทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่จะยืนยันบทบาทผู้นำ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการสำรวจที่อาจพามนุษย์ไปไกลถึงดาวอังคารและเกินกว่านั้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
