รีเซต

บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่AUM2ล้านล. ปั้นโซลูชั่นพอร์ตลงทุนแบบสมูท

บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่AUM2ล้านล. ปั้นโซลูชั่นพอร์ตลงทุนแบบสมูท
ทันหุ้น
24 ตุลาคม 2567 ( 10:39 )
5
บลจ.กสิกรไทย มุ่งสู่AUM2ล้านล. ปั้นโซลูชั่นพอร์ตลงทุนแบบสมูท

#บลจ.กสิกรไทย#ทันหุ้น- บลจ.กสิกรไทย วิ่งสู่เป้าหมาย เป็นที่หนึ่งในใจนักลงทุน และปักหมุด AUM สู่ 2 ล้านล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยการผนึก 2 พันธมิตรระดับโลก J.P. Morgan และ Lombard Odierพัฒนาโซลูชั่นด้านลงทุน พร้อมช่วงวางกลยุทธ์ ESG ชูจุดเด่น จัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolioเพิ่มความสมูทด้านการลงทุน พร้อมมองหุ้นไทยยังมีแรงขับเคลื่อน โดยเฉพาะกลุ่ม Big Cap ที่กางแขนเงินลงทุนของวายุภักษ์ ThaiESG และ ฟันด์โฟลว์


นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยถึงเป้าหมายในการขับเคลื่อน บลจ.กสิกรไทยว่า จะมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับนักลงทุนถึงรูปแบบ และจุดเด่นของการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolioซึ่งเป็นพอร์ตที่มีการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งเพื่อสร้างโอกาสในผลตอบแทน และเพื่อให้ภาพรวมของพอร์ตไม่ผันผวนเกินไป


พอร์ตลงทุนจะเน้นสินทรัพย์ที่หลากหลายโดย Core Portfolio หรือ พอร์ตหลัก แนะนำสัดส่วนการลงทุนราว 80% ผ่านของกองทุนรวมที่ บลจ. กสิกรไทยแนะนำ ส่วน Satellite Portfolioหรือพอร์ตรอง แนะนำลงทุนในสัดส่วน 20%เพื่อรับโอกาสที่ตลาดปรับตัวขึ้น หรือหากปรับตัวลง ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่ไม่สูงก็จะไม่ทำให้พอร์ตรวมของผู้ลงทุนมีความผันผวน


*ชูโมเดลพอร์ตลดความผันผวน

นายวิน กล่าวว่า การจัดพอร์ตดังกล่าว จะทำให้ภาพรวมการลงทุนมีความสมูท ไม่ผันผวนสูง คือในยามตลาดขาขึ้น ผลตอบแทนโดยรวมอาจไม่ได้สูงจนเป็นที่หนึ่ง แต่ในยามตลาดผันผวนปรับตัวลงผลตอบแทนก็ไม่รั้งท้าย เรียกว่าอยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งการจัดพอร์ตในลักษณะนี้ก็จะแบ่งตามระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน 3 ระดับ คือ เสี่ยงสูง ปานกลาง และเสี่ยงต่ำ ซึ่งผลตอบแทนก็จะล้อไปกับความเสี่ยง


“อย่าง Core & Satellite Portfolioในระดับที่เสี่ยงสูง ผลตอบแทนก่อนหักค่าฟี อยู่ที่ราว 8-9% ต่อปี หรือถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำก็จะอยู่ที่ระดับ 3-5% ต่อปี ซึ่งเราจะใช้โมเดลการลงทุนดังกล่าวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังให้กับผู้ลงทุน โดยตอนนี้ เราเน้นไปที่ธรุกิจกองทุนรวม และจะขยายกรอบความรู้นี้ไปยังกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ PVD และ กองทุนส่วนบุคคล หรือ Private fund ด้วย”

บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย 


ทั้งนี้ สำหรับ Core & Satellite Portfolioประจำไตรมาสที่ 4/2567 จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE


ส่วนที่ 2: Satellite Portfolioเน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-FIXEDPLUS, K-GSELECT, K-INDIA, K-VIETNAM, K-STAR และ K-PROPI


สำหรับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนของกองทุนใน Core Portfolio บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ส่วนกองทุนใน Satellite Portfolio แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะสั้นอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอประเมินสถานการณ์ตลาดในระยะถัดไป


นายวิน กล่าวว่า ด้วยรูปแบบดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เป้าหมายของ บลจ.กสิกรไทยประสบความสำเร็จ คือ Top of Mind Investment Houseหรือการเป็นหนึ่งในใจผู้ลงทุน ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังผนึกกำลังกับพันธมิตร อย่าง J.P. Morgan Asset Management ในฐานะ Strategic Partnershipพัฒนาโซลูชั่นด้านการลงทุน และ Lombard Odier พันธมิตรที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อเข้ามาช่วยกำหนดยุทธศาสตร์ในการวางโครงสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืน


*ปักหมุดAUM 2 ล้านล้านบาท

ปัจจุบัน บลจ. กสิกรไทย มีสินทรัพย์ภายใต้บริหาร หรือ AUM ราว 1.5 ล้านล้านบาท และ สิ้นปี 2567 เป้าหมาย AUM อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท ในอนาคต 3 ปี ข้างหน้า นายวิน คาดหวังจะเห็น AUM วิ่งไปสู่ 2 ล้านล้านบาท


สำหรับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นายวิน เชื่อว่า โมเมนตัม (Momentum) ของตลาดในช่วงที่เหลือของปี ยังดีต่อเนื่อง จากหลายปัจจัยหนุน ทั้งเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ที่ทยอยเข้าลงทุน และในโค้งสุดท้ายกับกองทุน ThaiESG หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ที่มีการปรับเงื่อนไขใหม่ สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000บาทโดยไม่รวม กองทุน SSF,กบข เป็นต้น ระยะเวลาการถือครองก็เพียง 5 ปี บวกกับที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมา น่าจะเป็นแรงหนุนให้นักลงทุนที่วางแผนภาษี เข้ามาลงทุนในกอง ThaiESG ได้


“ถ้าSETมีการย่อตัวก็มองว่าเป็นจังหวะทยอยเข้าลงทุน เนื่องจากหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ยังคงได้รับผลดีจากเม็ดเงิน วายุภักษ์ ThaiESGรวมถึงฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ซึ่งเป้าหมายของการลงทุนกลุ่มนี้โดยมากจะอยู่ที่หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งโดยมากจะเป็นหุ้นที่มี ESGตามนโยบายการลงทุนของกองทุนดังกล่าว รวมถึงยังเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ เรายังมีเผยจะออกกองทุน ThaiESG ที่เป็นกองทุนผสม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตแบบมิกซ์”


ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย จากการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต ประกอบกับเม็ดเงินใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นจากการตั้งกองทุนวายุภักษ์ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้จากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีซึ่งเป็น High Season มองเป้าหมายดัชนีปลายปี 2567 ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด และปี 2568 ที่ระดับ 1,600 จุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง