“พร้อมบริหารประเทศ” ณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์อะไร กับนิตยสาร Time บ้าง ?

“พร้อมบริหารประเทศ”
“จะกวาดเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง”
“ปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำ”
นี่คือส่วนหนึ่งที่ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Time Magazine ต่อมุมมองทางการเมือง และความพร้อมต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ที่ผ่านมา นายกฯ ของไทย รวมไปถึงนักการเมืองที่น่าจับตา ต่างได้รับความสนใจ และถูกสัมภาษณ์โดยนิตยสารระดับโลกเจ้านี้ ซึ่งครั้งนี้ ณัฐพงษ์ให้สัมภาษณ์อะไรกับนิตยสาร Time ในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองไทยบ้าง ?
พร้อมบริหารประเทศ และเป้าหมายกวาดเสียงข้างมาก
“วิสัยทัศน์ของเราคือการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” คือคำตอบของณัฐพงษ์ที่ Time เลือกขึ้นมาเปิดบทสัมภาษณ์ โดยหัวหน้าพรรคประชาชนยังคงย้ำว่าปัญหาหลักของประเทศไทยยังเหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อน “เราต้องนําประชาธิปไตยเต็มรูปแบบมาสู่ประเทศของเรา”
หลังการถูกถอดถอนของแพทองธาร พรรคประชาชนตัดสินใจโหวตเลือกแคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นผลให้ อนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกฯ คนใหม่ ขณะที่พรรคตัดสินใจไม่ร่วมรัฐบาล และเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งหัวหน้าพรรคก็ได้บอกถึงประเด็นนี้ว่า “เรารู้ว่าการโหวตให้คุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีต้องส่งผลต่อความนิยมของพรรคของเรา” แต่ “อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่แท้จริงในประเทศไทยในตอนนี้คือเราต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือเหตุผลที่เราเลือกสิ่งนี้”
เมื่อพูดถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดข้ึน หากมีการยุบสภาตามข้อตกลงกับภูมิใจไทยนั้น ณัฐพงษ์บอกถึงเป้าหมายของพรรคประชาชนว่า “เราได้ตั้งเป้าหมายที่จะมีที่นั่งเสียงข้างมากในรัฐสภา และ เราต้องทําให้ผู้คนเชื่อว่าเราพร้อมที่จะบริหารประเทศ” ซึ่งเสียงข้างมากนี้ สำคัญต่อพรรคในการจัดตั้งรัฐบาล และออกกฎหมายวาระสำคัญๆ อย่างการลดอิทธิพลทางการเมืองของกองทัพ หรือพระราชวัง “ประเทศไทยมีปัญหาร้ายแรงมากมาย ทหารที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การจับกุมของรัฐ การรวมศูนย์ของระบบราชการของเรา ดังนั้นการต่อสู้กับปัญหาหลักเหล่านี้คือการต่อสู้กับคนไม่กี่คนที่ได้รับประโยชน์จากระบบปัจจุบัน” เขาย้ำถึงความจำเป็นของการชนะเสียงข้างมาก
ทั้งการเมืองไทยเอง ยังมีเรื่องของอิทธิพลในท้องถิ่น หรือบ้านใหญ่ และพรรคอนุรักษ์นิยมที่กินฐานเสียงในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งเขาก็ยอมรับว่า “เรารู้ว่าการเมืองการอุปถัมภ์จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นเราต้องดึงดูดมวลชนให้ชนะการเลือกตั้ง” ณัฐพงษ์กล่าว และย้ำว่าเป้าหมายคือการชนะทุกที่นั่ง
เขายอมรับว่า ภูมิทัศน์การเลือกตั้งได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในสองปีสั้น ๆ นับจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่เขาเชื่อว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจในผลงานของพรรคเพื่อไทย เพื่อกระตุ้นความปรารถนาของคนไทยในการปฏิรูปได้
ทั้งยังแสดงความเห็นต่อกรณี การถูกจำคุกของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรว่า “ต้องยอมรับคําตัดสินของศาล ถ้าเขาตัดสินใจบินหนีไปเหมือนในอดีต จะมีหลายคนที่ไม่สามารถยอมรับการกระทําของเขาได้ และ สิ่งนี้จะนําความขัดแย้งใหม่มาสู่ประเทศ”
รวมไปถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ไปถึงคลิปเสียงของอดีตนายกฯ แพทองธารกับ สมเด็จ ฮุน เซ็น ที่ถูกปล่อยจากทางฝั่งกัมพูชาว่า แสดงให้เห็นถึงอันตรายของความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการแทนที่เจ้าหน้าที่ “ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่าความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในตอนนี้เป็นปัญหาระหว่างสองครอบครัวใหญ่” และ “เราต้องกลับไปเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐอย่างเป็นทางการ”
ณัฐพงษ์ ที่แตกต่างจาก พิธา และธนาธร หัวหน้าพรรคคนก่อนๆ
นอกจากการเลือกตั้งแล้ว บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ยังพูดถึงภาพลักษณ์ของณัฐพงษ์ ซึ่ง ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยแลกเปลี่ยน จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค มองว่าแตกต่างจาก ธนาธร และพิธา ที่เหมือนเซเลบริตี้ และมีแฟนด้อม แต่เขามีความเป็นเทคโนแครต และไม่มีไหวพริบเท่า แต่ถึงอย่างนั้น ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์กลับมองว่า ท่าทางที่นุ่มนวลกว่าของณัฐพงษ์ช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงการกลายเป็น ‘สายล่อฟ้า’ ที่อาจเจอสถานการณ์เดียวกับธนาธร และพิธา ที่สุดท้ายถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี
บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ยังพูดคุยถึงชีวิต และจุดเปลี่ยนทางการเมืองของหัวหน้าพรรคประชาชน โดยเขาเล่าว่า การรัฐประหารในปี 2549 ยึดอำนาจอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเกิดระหว่างการเป็นนักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เขาสูญเสียศรัทธาในประเทศ และไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดการรัฐประหารอีก แต่เขาก็ได้ให้เครดิต และพูดถึงธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนก ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ว่าเป็นคนที่ทำให้เขามองว่าการเมืองอาจจะแก้ไขได้ ซึ่งเทคโนลียี และความสามารถของเขาได้ถูกนำมาใช้ในแคมเปญเลือกตั้ง และในทางออนไลน์ของพรรคเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาเกิดในครอบครัวเจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ แต่เขาก็เล่าว่า ครอบครัวเขาร่ำรวยขึ้นหลังเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว ทั้งยังใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยหรือดูละครการเมืองด้วย
สุดท้ายณัฐพงษ์ได้พูดถึงบทบาทของสถาบันฯ ว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง ... และยังคงเป็นสถาบันหลักในประเทศไทย เราต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับตําแหน่งพวกเขา และทําให้พวกเขาได้รับการยอมรับจากคนไทยในโลกสมัยใหม่”
ประเด็นนี้ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมไทย และอาจทำให้ชะตาของพรรคอยู่บนการตัดสินของศาลอีกครั้ง ซึ่งนิตยสาร Time เองก็ได้ถามเขาว่า จะหลบหนีชะตากรรมแบบที่หัวหน้าพรรครุ่นก่อนๆ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้หรือไม่ ณัฐพงษ์ก็ยอมรับว่า “ผมบอกไม่ได้” “แต่ผมจะทําให้ดีที่สุด เราต้องการการปฏิรูปทางการเมืองที่ทําให้หน่วยงานอิสระรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนไม่กี่คน” เขาทิ้งท้าย
อ่านบทสัมภาษณ์ทั้งหมดได้ที่ https://time.com/7317196/thailand-natthaphong-ruengpanyawut-peoples-party-election-profile/
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
