รีเซต

ทีเด็ดยุทธศาสตร์จีน โอกาสที่ไทยต้องคว้า

ทีเด็ดยุทธศาสตร์จีน โอกาสที่ไทยต้องคว้า
ทันหุ้น
26 พฤศจิกายน 2568 ( 02:00 )

            นายกาจฐิติ  วิวัธวานนท์  กงสุลใหญ่ ณ นครกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยว่า ขณะนี้จีนกำลังขับเคลื่อนประเทศไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะส่วนของมณฑลกวางตุ้งนั้นนับเป็นมณฑลที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของจีนต่อเนื่องยาวนานถึง 36 ปี และมีขนาด GDP ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 4 เท่า และเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีนทั้งหมด ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง เช่นการใช้เทคโนโลยี Palm Scanning หรือการแกนฝ่ามือ สำหรับการจ่ายเงินในตลาดและระบบขนส่งสาธารณะ (รถไฟใต้ดิน) โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์หรือบัตรเครดิต นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Magnetic Power หรือรถสองล้อที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแม่เหล็ก โดยไม่ต้องเติมน้ำมันหรือชาร์จไฟเหมือน EV

            ประเด็นที่น่าสนใจก็คือจีนกำลังส่งเสริมแนวคิด Greater Bay Area (GBA) ซึ่งประกอบด้วย 9 เมืองในกวางตุ้ง บวกกับฮ่องกงและมาเก๊า เพื่อดึงพื้นที่เหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่และสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศอื่น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่าง GBA กับ EEC ของไทยด้วย

            ปัจจุบันการลงทุนของจีนในไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจีนเลือกประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนเนื่องจากมีปัจจัยที่ไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในอาเซียน ประกอบด้วย ความเชื่อมั่น จะเห็นได้จากการที่รัฐบาลจีนอนุมัติเงินทุนสำหรับการลงทุนในไทยได้เร็วกว่าการไปลงทุนในประเทศอื่น ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปัญหาด้านพลังงานของประเทศเพื่อนบ้าน โดยประเทศไทยมีศักยภาพรองรับ Data Center ได้

            “การที่ไทยกำลังขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องและมหาศาลกับมณฑลกวางตุ้ง โดยขาดดุลครึ่งปีแรกของปี 2568 เท่ากับยอดขาดดุลตลอดทั้งปี 2567 ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจีนอยู่ในช่วงเริ่มต้นเข้าไปลงทุนที่ไทย มีการสั่งสินค้าคงทนเข้าไป ซึ่งจะเป็นโอกาสในอนาคต”

            สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ไทยควรคว้าโอกาสไว้และทางกงศุลได้มีการดำเนินการไปบ้างแล้ว ประกอบด้วย ความร่วมมือทางการแพทย์และสุขภาพ เน้นการเชื่อมโยงในส่วนการป้องกัน (Preventive) และการวิจัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเป็นการรักษาโรคด้วยการแพทย์ขั้นสูง ประเภท ATMP (Advance Therapy Medicinal Products) เช่น Gene Editing, Cell Therapy, และ Tissue Engineering

            ซึ่งมณฑลกวางตุ้งได้รับมอบหมายจากพรรคคอมมิวนิสต์ให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ Bioland Lab ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม : มีส่วนสนับสนุนการลงนามการถ่ายทอดเทคโนโลยี ยีนบำบัดโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งหากสำเร็จ ไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ออกนอกจีน นอกจากนี้ยังต้องหาโอกาสการพัฒนาการแพทย์แผนไทยสู่การเป็น ยาเม็ดที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงเกษตรสมัยใหม่ เป็นภารกิจที่ถูกระบุไว้เพื่อสร้างความร่วมมือ

  นายกาจฐิติ ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในมณฑลไห่หนาน กำลังถูกยกฐานะให้เป็น Free Trade Port (ท่าเรือการค้าเสรี) ซึ่งสินค้าที่นำเข้าจะได้รับยกเว้นภาษี รัฐบาลจีนมุ่งเน้นการลงทุนใน 3 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อขับเคลื่อนได้แก่ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน การเป็น Free Bonded Zone สามารถสั่งอะไหล่เครื่องบินจากทั่วโลกเข้ามาซ่อมบำรุงและส่งออกได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ประหยัดต้นทุนกว่าสิงคโปร์

            อุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ มีฐานปล่อยจรวดที่หวนชาง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและเพิ่มน้ำหนักบรรทุก และ SMR หรือ Small Modular Reactor โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กที่จะดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว

            แม้จะมีโอกาสมหาศาล แต่ความท้าทายหลักอยู่ที่ศักยภาพของไทยในการปรับตัวและรองรับการลงทุน โดยยอมรับว่านักลงทุนจีนประสบปัญหากับแรงงานทักษะของไทยไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีของจีนได้ เช่น อุตสาหกรรม EV ต้องการแรงงานทักษะใหม่ 50,000 คน รวมถึงการขาดกลไกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบจีน ซึ่งไทยคุ้นเคยกับองค์กรสนับสนุนการลงทุนของญี่ปุ่น แต่กลับ ไม่มี “เวอร์ชั่นจีน” ในรูปแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างเป็นรูปธรรม

            ส่วนยุทธศาสตร์ที่ไทยควรใช้ในการเชื่อมโยงเพื่อคว้าโอกาสการลงทุน ไทยต้องดำเนินการในด้านการส่งเสริมการร่วมทุน ไม่ใช่การลงทุน 100% โดยจีน มีการสร้าง Local Content ในประเทศไทยให้มากขึ้น และพัฒนาฝีมือแรงงานของคนไทยให้พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ 

@ จีนไม่ต้องการกินรวบ

            ด้านนายไพจิตร  วิบูลย์ รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน เปิดเผยว่า ประเทศจีนให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศไทยในระดับที่สูง ทำให้ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สัญญาณการลงทุนเป็นไปในทิศทางบวกเป็นผลสืบเนื่องมาจาก นโยบาย "Made in China 2025" ซึ่งจีนได้พัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจนเริ่มสุกงอมพร้อมเปิดตลาดโลก ขณะไทยมีความได้เปรียบหลายด้าน ทั้งปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์ ไทยตั้งอยู่ตรงกลางของภูมิภาคอาเซียนมีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ความสัมพันธ์ที่ดี และวัฒนธรรม

            โดยในการพัฒนาผู้ประกอบการ จีนมีแผน 10 ปีที่จัดระบบ SME และ Startup อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่ Innovative SME กว่า 1 ล้านราย ไปจนถึงกลุ่ม "ยักษ์เล็ก" (Little Giants) 10,000 ราย ที่สามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ได้ และกลุ่มสูงสุดคือ Product Champion 1,000 ราย ที่พร้อมบุกตลาดโลก โดยผู้ประกอบการเหล่านี้จะได้รับการประเมินและยกระดับชั้นทุก 3 ปี เสมือนนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อม

            จีนตั้งเป้าหมายกลางปี 2035 จะก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วระยะต้น พร้อมกับการขยายขนาดชนชั้นกลางจาก 400 ล้านคน (ปี 2020) เป็น 800 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ประเทศไทย

            ดังนั้นรัฐบาลไทยควรผลักดันให้นักลงทุนจีนมาลงทุนในไทย และให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งจะได้รับประโยชน์อย่างมากทั้งในมิติของการลงทุน การจ้างงานในประเทศ และการส่งออก ส่วนข้อสังเกตว่านักลงทุนจีนมักจะเข้ามาในลักษณะของนำห่วงโซ่ประธาน (Supply Chain) ของจีนเข้ามานั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมที่เข้ามามีระดับเทคโนโลยีที่สูง มีลักษณะเฉพาะ หรือต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วและในปริมาณที่มาก ซึ่งบางครั้งผู้ประกอบการไทยอาจยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ ความเร็ว ปริมาณ สกิล ของจีนได้ทัน ภาครัฐควรเข้ามากำกับดูแลและสนับสนุนส่งเสริม เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจจีนได้ทันเวลา

            หากองค์ประกอบต่างๆ มีอยู่แล้วในประเทศไทย นักธุรกิจจีนก็ไม่มีความจำเป็นต้องดึงธุรกิจเหล่านั้นเข้ามาร่วมลงทุนในต่างประเทศ โดยไทยต้องดำเนินการส่งเสริมการลงทุน เพิ่มทักษะฝีมือของแรงงานไทยให้ทันและมากพอต่อความต้องการของนักลงทุนจีน ประเทศไทยไม่ควรพลาดโอกาสในการรับการผลิตใหม่ๆ ที่ย้ายฐานเข้ามา และยึดติดกับอุตสาหกรรมเดิมนานเกินไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง