มาริษแจงทูตต่างประเทศในไทย ย้ำกัมพูชาเริ่มความขัดแย้ง

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทรวงการต่างประเทศ ในวันนี้ (4 ส.ค.) มีตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ และองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วม จำนวนทั้งหมด 121 คน 74 ประเทศ 1 องค์กร 16 องค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย เอกอัครราชทูต 28 คน 27 ประเทศ 1 องค์กร, อุปทูตรักษาการชั่วคราวจาก 18 คน 18 ประเทศ, ผู้แทนจากสถานเอกอัคคราชทูต จำนวน 53 คน 49 ประเทศ 1 องค์กร หรือผู้แทนจากสหภาพยุโรป (EU), ผู้แทนจากสถานกงสุลใหญ่อาชีพ 1 คน 1 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ (21 คน 16 องค์การ) ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ได้ส่งเลขานุการโทของสถานทูตมาร่วมสังเกตการณ์ โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ เพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และรับทราบการดำเนินการ และท่าทีของไทย รวมถึงพัฒนาการที่สำคัญหลังกัมพูชา เปิดฉากการโจมตี และหลังการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งหลังจากนั้น ก็ยังพบการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชาต่อพื้นที่ของไทยหลายครั้ง และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาอีกหลายฉบับ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา แต่เป็นที่น่าเสียหายที่ฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มต้นความขัดแย้งก่อน ขณะที่ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ชี้แจงภาพรวมลำดับเหตุการณ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และความคืบหน้าการจัดการประชุม JBC และ GBC ในอนาคต พร้อมชี้แจงจุดยืน และท่าทีของไทยในการดำเนินการลดความตึงเครียด และคลี่คลายปัญหาอย่างสันติ และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ชี้แจงถึงการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชา บนเวทีระหว่างประเทศ โดยได้นำเสนอข้อเท็จจริง และการประท้วงของไทยต่อกรณีดังกล่าวต่อพหุภาตีต่าง ๆ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผย 9 ประเด็นสำคัญที่สามารถสรุปได้จากการบรรยายสรุปว่า ประเทศไทย มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่าง ๆ และมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ความมุ่งหวังดังกล่าว กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากกัมพูชา โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กัมพูชายั่วยุไทยหลายครั้ง และเปิดฉากโจมตีไทย ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศหลายกรณี พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยก่อน "โดยไม่เลือกเป้าหมาย" ส่งผลให้สถานที่ของพลเรือน และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และเด็ก ๆ ที่บริสุทธิ์ ต้องเสียชีวิต หรือบาดเจ็บ ต้องอพยพไปยังสถานที่พักพึง ซึ่งผู้ช่วยทูตทหาร ได้รับทราบจากการลงพื้นที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว รวมถึงการตอบโต้ของไทยทุกครั้ง เป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน และการปฏิบัติการของไทย ได้ผ่านการไตร่ตรองโดยกองทัพอย่างดี ได้สัดส่วน เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ มุ่งเป้าทางทหารกัมพูชา จึงไม่ถือเป็นการรุกราน และการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือน และสถานที่สาธารณะ เป็นการรุกรานอย่างชัดเจน และละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา รวมถึงตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก สตรี และผู้พิการ รวมถึงอนุสัญญาออตตาวาในการวางทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด พร้อมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชา ที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวที และทุกประเด็น เช่น ข้อกล่าวการการรุกรานของไทยจนปราสาทเขาพระวิหารได้รับความเสียหาย หรือการกล่าวหาประเทศไทยการคุกคามแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO แล้ว และฝ่ายไทย ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่มีขึ้นรายวัน และกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นล่าสุด กล่าวหาว่าประเทศไทยอพยพประชาชนจังหวัดสุรินทร์ เมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) เพื่อเตรียมการโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุม GBC ซึ่งไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และยังทำให้ความขัดแย้ง ขยายตัวไปสู่ระดับประชาชน 2 ประเทศ ซึ่งบั่นทอนการทำให้ความสัมพันธ์ กลับสู่สภาวะปกติ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังยืนยันว่า ประเทศไทยชื่นชมบทบาทมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกจนบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมขอบคุณสหรัฐฯ และจีน ที่สนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น แต่น่าผิดหวังฝ่ายกัมพูขา ยังคงละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงหลายครั้ง หลายพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดความจริงใจ จึงขอให้กัมพูชาเคารพ และปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และย้ำว่า ฝ่ายไทยยังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ผ่านการเจรจาแบบทวิภาคี ซึ่งฝ่ายไทย จะเข้าร่วมการประชุม GBC ในวันนี้ (4 ส.ค.) จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือ KL อย่างสุจริต จริงใจ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และวางกลไกเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว พร้อมย้ำว่า การนำเสนอข้อมูลของฝ่ายไทย เน้นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้บนหลักวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ พร้อมเชื่อมั่นว่า การเจรจา จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และต้องใช้ความจริงคุยกันบนพื้นฐานความสุจริตใจ แต่เฟคนิวส์ ไม่ได้ช่วยใด ๆ พร้อมขอวิงวอนให้คนไทย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไตร่ตรองข้อมูลที่เชื่อถือได้จากหน่วยงานราชการ และขอให้มั่นใจว่า รัฐบาล จะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ตลอดจนสิทธิ และความปลอดภัยของประชาชน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ตามโซเชียลมีเดีย มีการระบุมีกลิ่นศพบริเวณชายแดนจากกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมมาจัดการกับร่างทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตว่า ขณะนี้ ได้ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย และไม่ใช่ข่าวทางการ ซึ่งหากเกิดขึ้นบนดินแดนของกัมพูชา ฝ่ายไทยก็ไม่สามารถยืนยันได้ แต่การปฏิบัติดังกล่าว ก็ชัดเจนแล้วว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้รอติดตามว่า ฝ่ายไทยจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ก่อนแสดงท่าทีต่อไป
ส่วนกรณีที่โครงสร้างพื้นฐานไทยเสียหาย อย่างโรงพยาบาล ที่มีมูลค่าความเสียหายเกิดขึ้น จะมีกฎหมายระหว่างประเทศที่บังคับให้กัมพูชารับผิดชอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า มีแน่นอน ที่ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ ซึ่งอยู่ในวาระที่กระทรวงการต่างประเทศ กำลังดำเนินการคู่ขนาน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายรุกราน ซึ่งมีมากกว่ามูลค่าความเสียหาย แต่ขณะนี้ มีลำดับความสำคัญกว่านั้น ในการเรียกร้องให้กัมพูชา เคารพคำพูดตัวเอง และข้อตกลงหยุดยิง หยุดปั่นข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน
ส่วนกรณีที่ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชา ได้นำทูตทหารลงพื้นที่ความเสียหาย จะทำอย่างไรให้มีจุดบรรจบกันต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามข้อมูลข่าวสารนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ มั่นใจว่า ความจริงของไทย ได้รับการยอมรับ และสะท้อนผ่านประชาคมที่ระหว่างประเทศ เพราะฝ่ายไทยยึดมั่นในหลักฐาน หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาเอง ดังนั้น เชื่อว่า สิ่งที่คณะทูตได้เห็นในการลงพื้นที่ จะพิจารณาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งชนิดของกับระเบิด และอาวุธ ประชาคมระหว่างประเทศสามารถพิสูจน์ได้
ทั้งนี้ นอกเหนือการประชุม GBC ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งฝ่ายไทย ได้มีการจัดประชุมเตรียมการมาแล้ว 3 ครั้ง โดยคณะเลขานุการ GBC ได้เดินทางถึงมาเลเซียแล้ว ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการประชุมของฝ่ายเลขา จนถึงวันที่ 6 สิงหาคม ก่อนที่วันที่ 7 สิงหาคม จะมีการประชุม GBC สมัยพิเศษ ซึ่งมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยเฉพาะการประชุม 7 สิงหาคมนี้เท่านั้น โดยประชาชนสามารถติดตามพัฒนาการการประชุมได้ ผ่านการแถลงข่าวของศูนย์ ศบ.ทก.รวมถึงจะยังมีกลไกการประชุม JBC ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ทีประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยหวังว่า กัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจ และหาทางออกในประเด็นเขตแดนที่ยังคั่งค้างอยู่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
