ผู้ประท้วงแท็กซี่ไร้คนขับ ปิ๊งไอเดียเอากรวยจราจรวางบนรถ ขวางระบบไม่ให้ขับต่อ
กลุ่มผู้ประท้วงการใช้แท็กซี่ไร้คนขับในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ผุดไอเดียใหม่ในการประท้วง ด้วยการวางกรวยจราจรบนฝากระโปรงรถ ซึ่งทำให้เซ็นเซอร์ของรถคิดว่ามีสิ่งกีดขวาง และจะหยุดวิ่งจนกว่าจะเอากรวยออก ทั้งนี้ก็เพื่อประท้วงการขยายตัวของบริการแท็กซี่ไร้คนขับในเมือง
โดยกลุ่มที่มีชื่อว่า เซฟ สตรีท รีเบล (Safe Street Rebel) ซึ่งระบุว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนความปลอดภัยของคนเดินถนน ได้ออกมาเผยแพร่วิดีโอกระตุ้นการใช้กรวยจราจรก่อกวนระบบแท็กซี่ไร้คนขับ และเผยแพร่ลงบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งบนแพลตฟอร์ม Twitter และ TikTok
เหตุผลในการทำแบบนี้ เป็นเพราะกลุ่มมองว่า การใช้แท็กซี่ไร้คนขับนั้น ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม แต่กลับได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในการเป็นทางเลือกที่ดีกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ อีกทั้งก่อนหน้านี้ ยังมีกรณีที่รถแท็กซี่ไร้คนขับเกิดความขัดข้อง เช่นจู่ ๆ ก็หยุดวิ่ง และปิดกั้นเส้นทางวิ่งรถเมล์และรถฉุกเฉิน และการที่ตัวรถแท็กซี่ติดตั้งเทคโนโลยีกล้องตรวจจับโดยรอบ ก็สร้างความกังวลให้กับผู้ไม่เห็นด้วย ว่าจะช่วยเอื้อให้รัฐ เอามาใช้สอดแนมชาวเมืองด้วยหรือไม่
พวกเขาจึงหวังว่าการกระทำนี้ จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงครั้งสำคัญ โดยคณะกรรมาธิการด้านสาธารณูปโภคของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CPUC (California Public Utilities Commission) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ โดยการลงคะแนนแสียง จะเป็นการอนุญาตให้ ครูซ (Cruise) บริษัทแท็กซี่ไร้คนขับ ซึ่งควบคุมโดยบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ (General Motors) และ เวย์โม (Waymo) อีกหนึ่งบริษัทแท็กซี่ไร้คนขับของกูเกิล (Google) สามารถขยายการให้บริการในเมืองซานฟรานซิสโกได้
อย่างไรก็ตาม เวย์โม ไม่เห็นด้วยกับการออกมาพฤติกรรมก่อกวนดังกล่าว โดยมองว่าเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยและไม่สุภาพบนถนน และจะแจ้งตำรวจจับหากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก ในขณะที่ ครูซ ผู้ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับอีกรายในซานฟรานซิสโก ก็ออกมาเน้นย้ำถึงผลงานเชิงบวกที่บริษัทมีต่อชุมชน อีกทั้งมองว่าการกระทำเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการสร้างการจราจรติดขัดให้กับคนในท้องถิ่น และถึงแม้ว่ากลยุทธ์การรบแบบกองโจรของกลุ่มผู้ประท้วง จะได้รับความสนใจบนสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็ยังต้องดูต่อไปว่าการกระทำของกลุ่มจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ CPUC หรือไม่
ข้อมูลจาก theguardian, interestingengineering, metro.co.uk