ครม.ปรับแผนก่อหนี้ใหม่ เพิ่มขึ้น 20,700 ล้านบาท นายกฯ ย้ำบริหารให้มีประสิทธิภาพ
ข่าววันนี้ 4 ม.ค. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 1 ซึ่งเสนอโดย คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ดังนี้ 1.ปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม 20,700 ล้านบาท เดิมจากตามมติ ครม. 28 ก.ย. 64 วงเงิน 1,344,783.84 เพิ่มเป็น 1,365,483.84 ล้านบาท ปรับปรุงแผนการบริหารหนี้เดิม เปลี่ยนแปลง 31,588.34 ล้านบาท จากวงเงินเดิมตามมติ ครม.28 ก.ย. 64 จำนวน 1,505,369.64 ล้านบาท เป็น 1,536,957.98 ล้านบาท และ2.แผนการชำระหนี้ ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,941.85 ล้านบาท เป็น 362,233.72 ล้านบาท จากวงเงินเดิมตามมติ ครม. 28 ก.ย. 64 อยู่ที่ 339,291.87 ล้านบาท
โดยมีการเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินรวมเพิ่มขึ้นเป็น 75,230.19 ล้านบาท ซึ่งมอบหมายให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบฯ 65 ปรับปรุงครั้งที่ 1 เร่งรัดการดำเนินการตามแผนดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ แผนการก่อหนี้ใหม่ 20,700 ล้านบาท จะประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ 700 ล้านบาท คือ แผนเงินกู้เพื่อการลงทุนในโครงการพัฒนาของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) จำนวน 200 ล้านบาท และแผนเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการหรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน 500 ล้านบาท
ส่วนอีก 20,000 ล้านบาท เป็นแผนเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการหรือเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) โดยปรับเพิ่มเงินกู้ระยะสั้น เพื่อเสริมสภาพคล่องในรูปแบบ credit line เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลไม่มีแผนการก่อหนี้ใหม่
นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการบริหารหนี้เดิม ที่ปรับเพิ่มขึ้น 31,588.34 ล้านบาทนั้น ประกอบด้วยแผนการบริหารหนี้เดิมของรัฐบาล ปรับเพิ่มขึ้น 52,793 ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิมของรัฐวิสาหกิจ ปรับลดลงสุทธิ 21,204.66 ล้านบาท
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับเพิ่มวงเงินกู้ออมสิน จากการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 956 ล้านบาท, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ปรับลดวงเงินกู้ ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงไทย จำนวน 5,222.30 ล้านบาท, ธพส. ปรับเพิ่มสัญญาเงินกู้ ธ. กรุงไทย จำนวน 2,400 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปรับลดวงเงินกู้โครงการจำนำผลิตผลทางการเกษตร (ปีการผลิต 2551/2552/2555/2556 2556/2557) จากที่ได้ชำระคืนก่อนครบกำหนด วงเงิน 19,338.36 ล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับปรุงแผนฯ เป็นการปรับเพิ่มวงเงินปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ 2566-2569 ซึ่งเป็นหนี้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยออกพันธบัตร รัฐบาลจำนวน 60,000 ล้านบาท รวมทั้งการกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงการพัฒนา และเพื่อดำเนินโครงการ หรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
“ท่านนายกฯ เน้นย้ำเรื่องความเหมาะสมและความสอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินในแต่ละช่วงเวลา ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการเงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ครม. ได้ให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้พิจารณาการกู้เงินวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยหากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ” นายธนกร ระบุ