เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ หากรอบ 1,410-1,425 จุด ลดความร้อนแรงลงหลังจากปรับตัวขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน ตอบรับความคาดหวังทิศทางดอกเบี้ยของ FED ที่อาจแตะจุดสูงสุดไปแล้ว และทำให้ Bond Yield ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามเช้านี้ Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯขยับขึ้นเป็น 4.63% โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ FED หลายท่านรวมถึงพาวเวลที่จะมีคิวพูดในช่วงปลายสัปดาห์ว่าจะส่งสัญญาณต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไปอย่างไร
ส่วนปัจจัยในประเทศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ออกมาผสมผสาน โดยเริ่มเห็นสัญญาณเร่งขึ้นเล็กน้อยสำหรับ Core CPI +0.66% y-y ซึ่งต้องติดตามในระยะถัดไปว่าจะเร่งขึ้นต่อเนื่องมากน้อยเพียงใด โดยคาดว่านโยบายของรัฐบาลทั้งการขึ้นค่าแรงที่จะได้ข้อสรุปในเดือน พ.ย. รวมถึงเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทที่จะมีการประชุมเคาะหลักเกณฑ์วันที่ 10 พ.ย. นี้ ซึ่งจะมีผลต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวขึ้นในปี 2024 นอกจากนี้ให้จับตาการประกาศกำไร 3Q23 ของบจ.ในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า ว่าจะกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2024 อย่างไร ด้าน Valuation ของ SET ปัจจุบันเรามองว่าไม่แพงที่ระดับ 1,400 จุดหรือต่ำกว่าเริ่มมี Downside ที่จำกัด เรามองกรอบล่างของดัชนีที่ 1,320-1,360 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจในการสะสมหุ้นเพิ่มสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 3Q23 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพื่อถือลงทุนระยะยาวหากปรับลงหากรอบ 1,320-1,360+- จุด
หุ้นเด่นเดือน พ.ย.: AOT, BH, CENTEL, CPN, SISB
หุ้นเด่นวันนี้ : TIDLOR
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท
• รายงานกำไรสุทธิ 3Q23 ที่ 1 พันลบ. +9% q-q, +12% y-y ดีตามคาด แม้มีตั้งสำรองเพิ่ม แต่ได้แรงหนุนจากขาดทุนรถยึดต่ำกว่าคาดมากซึ่งส่งผลให้ credit cost ลดลง ขณะที่ PPOP +6% q-q, +19% y-y จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิจากสินเชื่อรถยนต์และจักรยานยนต์ดีขึ้นมากกว่าคาด ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทรงตัวแม้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น
• คุณภาพสินทรัพย์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q23 โดยไตรมาสนี้ขยับลงมาที่ 1.54% แนวโน้ม 4Q23 คาดว่าจะดีขึ้นทั้งกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ คาดกำไรปี 2023 ชะลอเล็กน้อย -7% y-y ก่อนเร่งตัวแกร่ง +21% y-y ในปี 2024
• แนวรับ 21//20.50 บาท แนวต้าน 21.50//22 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ แกว่งตัวกรอบแคบ ตลาดต่างประเทศ Bond Yield สหรัฐฯ ดีดตัวกลับมาเล็กน้อยจาก 4.61 เป็น 4.63% นักลงทุนรอดูการแสดงความเห็นของคณะกรรมการ Fed ว่ายังจะสามารถยุติการขึ้นดอกเบี้ยอยู่หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้น
• สงครามอิสราเอล-ฮามาส ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หลังจากทางอิสราเอลจะบุกเข้าถึงส่วนกลางของฉนวนกาซา ภายใน 1-2 วันข้างหน้า ซึ่งหากเป็นตามนั้น อาจจะทำให้ภาพรวมของความขัดแย้งดูรุนแรงมากขึ้น
• ราคาน้ำมันดิบ สูงขึ้น จาก รัสเซียและซาอุฯ มีแผนตรึงกำลังการผลิต และส่วนหนึ่งอาจมาจากปัญในตะวันออกกลาง ล่าสุด Brent $85.1 เหรียญ
• เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทเตรียมเข้า ครม. ในวันนี้ และนายกฯ จะมีการแถลงในวันที่ 10 พ.ย. หากมีการอนุมัติจะเป็นลบต่อตลาดหุ้น และกระทบต่องบประมาณปี 67
• นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย วานนี้(6) Net Sell 861 ล้านบาท ขณะที่เงินบาทไทยเริ่มแข็งค่า ล่าสุด 35.4 บาท/ดอลลาร์
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขส่งออกของจีน
Strategy
• เรามอง ดัชนีฯ เป็นแค่การ rebound กลับมาที่เดิม (1420) และมีการปรับฐาน เพื่อรอข่าวใหม่ๆ คำแนะนำวันนี้ ยังเป็นสะสมหุ้น โดยเลือกเป็นรายตัว แต่หากดัชนีฯ หลุดกรอบ 1410จุด ลงไปให้พิจารณาขายทำกำไร
• วันที่ผ่านมา มีแรงซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก บางตัวอยู่ใน list ของเราอยู่แล้ว อาทิ CBG KCE วันนี้ เราเพิ่ม IVL, SCGP รวมทั้งหุ้นอสังหาฯ ที่เป็น High Dividend ได้แก่ SPALI, AP
• เรายังคงสถานะเงินสดไว้ 50% เนื่องจากรอดูความแข็งแรงของตลาดว่าจะยืนเหนือ 1420 จุด ได้หรือไม่ โดยนำหุ้นออกไป 1 ตัว (BEM) และเพิ่มเข้ามา 1 ตัว (WHA)
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ BEM ออก และเพิ่ม WHA เข้ามาในพอร์ต ทำให้หุ้นในพอร์ตวันนี้ ประกอบไปด้วย WHA(10%), CBG(10%), TRUE*(10%) , RBF*(10%), BGRIM(10%)
Strategy Stock Pick
WHA : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 5.30 บาท) “ รับอานิสงค์ ต่างประเทศใช้ไทยเป็นฐานผลิต EV ”
• หุ้นกลุ่มนิคมฯ เป็นกลุ่มที่แนวโน้มธุรกิจดูเป็นบวกในปีนี้ และอาจเลยไปถึงปีหน้า เพราะอุตสาหกรรมใหม่ ที่เด่นตัวหนึ่งคือ การผลิตรถ EV ที่ผู้ประกอบการต่างประเทศดาหน้าเข้ามารับมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล โดยเฉพาะการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า 1:3 ภายในปี 2570 และการบังคับใช้ชิ้นส่วน Local Content
• WHA น่าจะได้ลูกค้ามากเป็นอันดับต้นๆ ในเรื่องการสร้างโรงงานผลิต EV เนื่องจากมี Eco System ที่พร้อม (มานานแล้ว)
• การขายที่ดิน มียอดโอนเพิ่มเป็นไตรมาสลาสุด คาด 360 ไร่ (3Q22/2Q23 = 273/437 ไร่) ขณะที่ยอด presale เติบโตดีที่ 1.0 พันไร่สูงสุดรายไตรมาส
• แนวโน้ม 2-3 ปีข้างหน้า มีโอกาสได้ลูกค้าในกลุ่ม supply chain ของ EV เพิ่ม และผู้ประกอบการสินค้า Technology รายใหญ่ในเวียดนาม
Technical: SYMC, TKN
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด มองดัชนี SET มีโอกาสปรับฐานตามดัชนีภูมิภาค งแนวรับ 1,405 – 1,410 แนวต้าน 1,420 – 1,425 แนะนำทยอยซื้อบริเวณแนวรับ เช่น CPALL,BJC,DOHOME ได้ประโยชน์จาก ม.พักหนี้เกษตรกร & ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ /ท่องเที่ยว AOT,AAV,BA,ERW,CENTEL รับเทศกาลปีใหม่ / เก็งกำไร JAS, CBG มีสัญญาณบวกทางเทคนิค
AUCT* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 13.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 3Q66 ดีขึ้นทั้ง QoQ, YoY หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณรถเข้าสู่ลานประมูลและปริมาณรถจบประมูล เป็นผลจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินและความเข้มข้นในการติดตามยึดหลักประกัน ประกอบกับการปรับขึ้นค่าดำเนินการรถยนต์ตั้งแต่ ส.ค.65 และจักรยานยนต์ Big Bike ตั้งแต่ พ.ย.65 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้ม 4Q66 คาดยังเติบโตต่อเพราะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ ที่ปกติสถาบันการเงินจะเร่งระบายรถยึดก่อนเปลี่ยนปีปฏิทิน (ราคารถจะตก) ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66 ที่ 366 ล้านบาท +46%YoY และปี 67 ที่ 383 ล้านบาท +5%YoY
MENA* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 2.63 บาท) กำไรสุทธิงวด 1H66 อยู่ที่ 30.6 ลบ.,+52%YoY การเติบโตหลักๆมาจากการลงทุนเพิ่มฟลีทรถอย่างต่อเนื่องรวมถึงปริมาณขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จที่สูงขึ้น ด้านการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง Q3-Q4 คาดว่ายังจะมีแรงหนุนเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกจาก ปัจจัยตามฤดูกาล และการรับรู้รายได้จาก TDM เข้ามาเต็มไตรมาส(เริ่มให้บริการ 1พ.ค.66) โดย TDM เป็นบ.ร่วมระหว่าง TWD และ MENA(ถือ 35%) จัดตั้งเพื่อการขนส่ง/กระจายสินค้าของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป และ ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส อนึ่งทางผู้บริหารวางเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ส่วนตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 MENA* ที่ 71 ลบ.(+39%YoY) และ 90 ลบ.(+27%YoY)