บูลลี่: วิกฤตซ่อนเร้นที่รอวันปะทุ
ปัญหาการบูลลี่ในเด็กไทย รู้เท่าทันและร่วมแก้ไขก่อนสายเกินแก้
หากพูดถึงการบูลลี่ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นปัญหาของเด็กซึ่งเล็กน้อยเกินกว่าจะกังวล แต่เมื่อลองพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ปัญหานี้อาจใกล้ตัวและส่งผลกระทบมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการบูลลี่ในเด็กและเยาวชนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น
ความน่ากลัวของการบูลลี่ไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมรังแกกันธรรมดา แต่อยู่ที่การกระทำซ้ำ ๆ อย่างมีเจตนาร้าย ต่อคนที่อ่อนแอกว่า จนทำให้เหยื่อสิ้นหวังและสูญเสียความเชื่อมั่นที่จะต่อสู้ มันเปรียบเสมือนการทำลายลูกผู้อื่นทีละน้อยจนย่อยยับ
พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า พยาบาล (สบ. 5) โรงพยาบาลตำรวจ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และผู้ดูแลเพจ Because We Care ระบุว่า การบูลลี่แบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ คือ การกลั่นแกล้งทางวาจา ทางสังคม ทางกายภาพ และออนไลน์ แม้การบูลลี่จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่ก็มักพบมากในโรงเรียน ที่ทำงาน และบนโลกโซเชียล
หากลูกหลานหรือคนใกล้ตัวของเราถูกบูลลี่ เราอาจสังเกตอาการได้ทั้งทางกายและใจ เช่น มีร่องรอยฟกช้ำ หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ไม่อยากไปโรงเรียน หรือมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และคิดทำร้ายตนเอง ในกรณีที่รุนแรง ปัญหานี้อาจรุกลามถึงชีวิตผู้ถูกกระทำได้
นอกจากผลกระทบในระยะสั้นและฉับพลันต่อจิตใจแล้ว เด็กและเยาวชนที่ถูกบูลลี่ยังเสี่ยงต่อผลกระทบยาวนาน ทั้งภาวะซึมเศร้า ผลการเรียนตกต่ำ หรือการแยกตัวจากสังคม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมในระยะยาว
หยุดวงจรบูลลี่: ร่วมสร้างสังคมแห่งความเข้าใจและเกื้อกูล
จากกรณีการเหตุยิงในงานปราศรัยหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลชี้ว่าผู้ก่อเหตุวัย 20 ปี เคยตกเป็นเหยื่อการบูลลี่อย่างหนักในโรงเรียน จนเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมสับสนและใช้ความรุนแรงเมื่อเติบโตขึ้น กรณีนี้สะท้อนให้เห็นผลพวงของการบูลลี่ที่คนมักมองข้าม ปัญหาที่เริ่มจากเด็กแกล้งเด็ก อาจขยายวงกว้างเป็นปัญหาสังคมเมื่อเหยื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นได้
ดังนั้น การรับมือและป้องกันการบูลลี่อย่างจริงจัง จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ครอบครัวควรเป็นที่พึ่งให้ลูกกล้าขอความช่วยเหลือ โดยไม่ดูดายเมื่อพบสัญญาณผิดปกติ ในด้านของโรงเรียน ก็ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ปลูกฝังทักษะชีวิตและค่านิยมที่ส่งเสริมความเข้าใจและสันติวิธี ชุมชนและสังคมในวงกว้างก็ต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ ไม่ให้การบูลลี่เป็นเรื่องปกติ รวมทั้งต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงด้วย
การเคลื่อนไหวของหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐอย่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และภาคประชาสังคมอย่างสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการบูลลี่ ผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ จึงนับเป็นแนวทางที่น่าสนับสนุน แม้อาจเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่หากทุกคนในสังคมช่วยกันสานต่อ ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ไม่ปล่อยให้การบูลลี่และความรุนแรงเป็นทางออกเดียวของเด็ก ๆ ในบ้านเรา
ปัญหาการบูลลี่ในวัยเยาว์ ไม่ใช่เรื่องสนุกที่ปล่อยให้เด็กจัดการเอง แต่เป็นภัยมืดที่ผู้ใหญ่ทุกคนต้องช่วยกันจับตามอง เพื่อคอยช่วยเหลือ ปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้เด็กตกอยู่ในวังวนความรุนแรงอย่างไร้ทางออก เพราะเมื่ออ่อนต้นขาดความเข้าใจ ก็เสี่ยงที่จะเติบใหญ่อย่างอกุศล ไม่ต่างจากต้นกล้าที่ขาดการบ่มเพาะ จนกลายเป็นหนามยอกเสียดแทงใจสังคม
นี่คือเรื่องที่เราต้องรู้เท่าทัน และช่วยกันแก้ไขตั้งแต่วันนี้ เพราะแม้การบูลลี่จะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ปั้นให้คนผันตัวไปในทางที่ผิด แต่มันก็เป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่เราไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป หากอยากเห็นประเทศนี้ปลอดภัย เติบโตอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความเกื้อกูลกัน ไม่แบ่งพวกเขาพวกเรา ไม่เอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า เปลี่ยนความแตกต่างเป็นพลังบวก ไม่ทำร้ายกัน ทั้งกาย ใจ และศักดิ์ศรี
อ้างอิง กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข