หลุบหลบภัย 40 ปี VS เขี้ยวเล็บใหม่กัมพูชา ชาวบ้านแนวชายแดนปลอดภัยแค่ไหน?

แม้วันนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้จุดปะทะช่องบก จ.อุบลราชธานี จะเริ่มผ่อนคลายจากการปรับกำลังของทหารกัมพูชาที่ถอยร่นกลับไปที่ตั้งเดิมทำให้ชาวบ้านเริ่มกลับมาทำมาหากินตามปกติ แต่ในขณะเดียวกันชาวบ้านยังไม่ไว้วางใจสถานการณ์เร่งนำกระสอบทรายมาเสริมแนวบังเกอร์ หรือ หลุมหลบภัยในพื้นที่ให้แน่นหนา
บังเกอร์ในพื้นที่ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี คือบังเกอร์เก่าอายุกว่า 40 ปี ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสมัยสมรภูมิช่องบก
ในช่วงปี 2528-2530 ซึ่งกองทัพเวียดนามได้รุกคืบเข้ามาในบริเวณชายแดนไทยหลังโค่นล้มเขมรแดง นับจากวันนั้นพื้นที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่สงบสุขจนกระทั่งเกิดเหตุปะทะในพื้นที่ช่องบกจนนำมาสู่ความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ
ขณะที่ชาวบ้านปรับแนวบังเกอร์โบราณอายุกว่า 40 ปี มาใช้ในการป้องกันภัยจากสภาวะสงคราม แต่หากประเมินศักยภาพของกัมพูชากลับพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อครั้งปี 2554 ที่กองทัพกัมพูชาเปิดฉากยิงจรวด BM-21 ใส่ชุมชนไทยในพื้นที่หมู่บ้านภูมิซรอล ใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาพพระวิหาร จ.ศรีษะเกษ ทำให้บ้านเรือน โรงเรียนเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ 5 ราย และ เสียชีวิต 1 ราย
สมบูรณ์ พลยา ชาวบ้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีเปิดเผยความรู้สึกว่ายังไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์ชายแดน เพระาลึก ๆ มองว่าฝั่งกัมพูชาจะไม่ยอมง่าย ๆ ทำให้ทุกวันนี้ไม่กล้าไปทำมาหากิน ทำไร่ทำนาเหมือนภาวะปกติ ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงว
"ทางบ้านเราก็เตรียมความพร้อมเก็ข้าวของ เอกสารสำคัญ รอฟังแค่เสียงปืนดัง ก็พร้อมหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่ส่วนตัวก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม" ชินพรรณ ย้ำถึงความกังวล
ขณะที่นางสา วิลานันท์ ชาวบ้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กล่าวว่าภาวนาให้การประชุม JBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ทั้งสองประเทศจะสามารถเจรจากันได้ และจบลงด้วยสันติ ไม่เกิดเป็นสงครามเที่ยวที่ 3 เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมาทำให้ชีวิตไม่เป็นปกติ "สงครามมันคือความหดหู่ การอพยพไปอยู่ที่อื่นมันแสนทรมาน โดยเฉพาะการกิน การอยู่ การใช้ชีวิตต่าง ๆ มันลำบาก อยากให้เกิดความสันติ ไม่อยากใ้เกอดสงครามอีก" สา เล่าถึงความรู้สึกเมื่อต้องเผชิญสภาวะสงครามในอดีต
เพจ Thai armed force วิเคราะห์ว่ากองทัพกัมพูชามีการเสริมเขี้ยวเล็บด้วยอาวุธที่ทันสมัย ซึ่งทำให้การรบภาคพื้นมีวิสัยการยิงที่ไกลขึ้น โดยยุทโธปกรณ์ใหม่ของกัมพูชาประกอบด้วย
1.ปืนใหญ่อัตตาจร SH-1
ขนาด: 155 มม. ลำกล้อง 52 คาลิเบอร์ (มาตรฐาน NATO)
ระยะยิง: 30–53 กม. (ขึ้นกับชนิดกระสุน)
คุณสมบัติเด่น: ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการยิง, ติดตั้งบนรถ WS5252 6x6 เคลื่อนที่เร็ว
เทียบไทย: ใกล้เคียงกับ CEASAR และ ATMG ของกองทัพบกไทย
2. จรวดหลายลำกล้อง Type 90B / RM-70 / BM-21
ขนาด: 122 มม. จำนวน 40 ท่อยิง
ระยะยิง: 20–40 กม.
ลักษณะการใช้งาน: ใช้ยิงทำลายล้างพื้นที่ในปริมาณมาก ราคาถูก และผลิตง่าย
ข้อสังเกต: หากได้รับเพิ่มเติมจำนวนมาก จะเพิ่มประสิทธิภาพเชิงยุทธวิธีได้ชัดเจน
เทียบไทย: ใกล้เคียงกับระบบ SR4
3. จรวดหลายลำกล้อง PHL-03
ขนาด: 300 มม. จำนวน 12 ท่อยิง
ระยะยิง: 70–130 กม.
หัวรบ: มีทั้งแบบไม่นำวิถีและนำวิถี (เช่น BRE3, FD140A)
พิสัยทำลาย: ครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 420 ไร่
ติดตั้งบน: รถบรรทุก 8x8 ความเร็วสูง เคลื่อนที่ได้ดี
เทียบไทย: ยังไม่มีระบบเทียบเท่าโดยตรงในกองทัพไทย (ใกล้เคียง DTI-1G แต่ยังไม่ประจำการ)
4. จรวดต่อสู้อากาศยาน KS-1C
พื้นฐาน: HQ-12 จากจีน
ระยะยิง: 70 กม. / เพดานยิงสูงสุด 25 กม.
ระบบนำวิถี: เรดาร์ H-200
เป้าหมาย: โดรนและอากาศยานหลากหลาย
เทียบไทย: ใกล้เคียงระบบของกองทัพอากาศไทย, ส่วนกองทัพเรือไทยมี FK-3 (รุ่นพัฒนาจาก HQ-22)
แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าบังเกอร์อายุ 40 ปี ในพื้นที่ใกล้แนวปะทะช่องบกจะสามารถป้องกันอานุภาพจากยุทโธปกรณ์กัมพูชาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ชาวบ้านยืนยันว่ามีบังเกอร์หลบภัยย่อมดีกว่าไม่มี แต่แน่นอนว่าแผนรับมือที่ปลอดภัยที่สุด คือ การอพยพประชาชนออกจากแนวปะทะและพิสัยการยิงของอาวุธข้าศึก ซึ่งในพื้นที่เริ่มมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง
ทว่าการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไม่อาจประเมินวันเวลาได้แน่นอน เห็นได้จากกรณีของหมู่บ้านภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ ในปี 2554
ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันว่าการไม่เกิดสงครามย่อมดีกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าสิ่งที่จะทำให้สามรถรับมือกับเหตุไม่คาดฝันได้คือความพร้อมจากการตื่นตัว รวมถึงประสบการณ์สงครามของคนเก่าแก่ที่เคยผ่านสมรภูมิช่องบกเมื่อกว่า 40 ปีก่อน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
