รีเซต

เปิดใจ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" กับการนำทัพประชาธิปัตย์เข้าสมรภูมิเลือกตั้งครั้งแรก!

เปิดใจ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" กับการนำทัพประชาธิปัตย์เข้าสมรภูมิเลือกตั้งครั้งแรก!
TNN ช่อง16
8 พฤษภาคม 2566 ( 17:49 )
65


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ ในสนามการเลือกตั้ง 2566 ทั้งผู้สมัคร นโยบาย และหัวหน้าพรรคฯ ว่า มีความพร้อมเต็มร้อย ทั้งตัวบุคคล ที่ส่งผู้สมัครครบทุกเขต ยกเว้นจะเกิดอุบัติเหตุอื่น เช่นเดียวกับนโยบา ที่พรรคประชาธิปัตย์ คาดว่า จะเป็นเพียงพรรคการเมืองเดียว ที่มีกรอบยุทธศาสตร์นโยบายชัดเจน “สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ” และมีรายละเอียดนโยบายตามแต่ละยุทธศาสตร์ ที่มั่นใจว่า สามารถทำได้ และพร้อมรับผิดชอบต่อนโยบายที่ได้ประกาศไว้



“พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตกผลึกจากประสบการณ์ จากความคิด และกลั่นออกมาเป็นยุทธศาสตร์ และเป็นนโยบายที่จับต้องได้ ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล ก็ยืนยันว่า สามารถทำได้ และรับผิดชอบต่อสิ่งที่ประกาศไว้ ไม่ใช่เพียงแค่รอให้พ้นการเลือกตั้ง แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รับผิดชอบ” นายจุรินทร์ กล่าว



ส่วนความแตกต่างของพรรคประชาธิปัตย์ ในตอนนี้ กับการเลือกตั้งในอดีตนั้น นายจุรินทร์ ยืนยันว่า อุดมการณ์ และจุดยืนของพรรคฯ ยังเหมือนเดิม คือ อุดมการณ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อุดมการณ์ซื่อสัตย์สุจริต คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมที่ต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตัว แต่ทิศทางนโยบาย และกรอบยุทธศาสตร์ แต่ละช่วงเวลา อาจต้องเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา และสถานการณ์ มิเช่นนั้น จะไม่สามารถพาประเทศไปข้างหน้าได้ เพราะความไม่ทันเหตุการณ์ ความไม่ทันปัญหาประเทศ และก้าวไม่ทันประเทศ



นายจุรินทร์ ยังระบุด้วยว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ถือเป็นครั้งแรก ในการนำทัพพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่สนามการเลือกตั้ง แต่ถ้าสำหรับการนำทัพสู้การเลือกตั้งซ่อม ก็เคยทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จ ทั้งสงขลา ชุมพร ราชบุรี รวมไปถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แม้พรรคฯ จะไม่ได้ที่ 1 แต่ก็ได้ที่ 2 รวมถึงยังชนะการเลือกตั้ง สก. 9 ที่นั่งและอีก 7 ที่นั่ง ก็เป็นที่ 2 พร้อมมองว่า ในการการเลือกตั้งใหญ่ ล้วนมีเดิมพันด้วยกันทั้งนั้น และทุกครั้งที่มีเลือกตั้ง ก็มีเดิมพันในตัว เพราะการนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ทุกคนหวังคะแนนนิยม และเสียงตอบรับจากประชาชนที่มากขึ้นกว่าระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ไม่คะเนว่า จะเป็นเดิมพันที่สูง หรือมากน้อยเพียงใด เพียงแต่รู้ภารกิจของตนเอง และเมื่ออาสามาเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อถึงเวลามีการเลือกตั้ง ต้องนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง


 


“เมื่ออาสามาเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อถึงเวลามีการเลือกตั้ง ต้องนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ และหนีไม่พ้น และไม่คิดจะหนี เพราะมีการเตรียมการมาเป็นลำดับ ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคฯ ทั้งคน นโยบาย ผลงานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ประสบการณ์ องค์ความรู้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ประสบการณ์ด้านนิติบัญญัติซึ่งเราเตรียมมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดว่า จะเป็นเดิมพันพิเศษอย่างไร เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นหัวใจหลัก” นายจุรินทร์ กล่าว


 


นายจุรินทร์ ยังอธิบายถึงสาเหตุการกำหนดกรอบนโยบายยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กับยุทธศาสตร์นโยบาย “สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ” ว่า หลาย ๆ พรรคการเมือง ไม่มีกรอบนโยบาย ไม่มีกรอบยุทธศาสตร์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ มีประสบการณ์ และตกผลึกแล้วว่า สถานการณ์ประเทศในปัจจุบัน หากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล จะพาประเทศเดินหน้าไปทิศทางใด การกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งตัวแต่ละยุทธศาสตร์นโยบายจะมีนโยบายแยกย่อยออกมา ได้แก่ “สร้างเงิน” ผ่านนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ทั้งข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด ที่พรรคประชาธิปัตย์ ทำสำเร็จมาแล้วในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเดินหน้าต่อ เพราะเป็นหลักประกันเดียวที่สามารถให้กับเกษตรกรได้ เพราะหากไม่มีประกันรายได้ เกษตรกรก็จะถูกปล่อยตามยถากรรม รายได้ก็ขึ้นอยู่กับตลาดโลก หรือกลไกราคาตลาด ซึ่งบางครั้งก็สูง หรือตกต่ำ โดยในยามพืชผลราคาตกต่ำ ก็จะมีนโยบายประกันรายได้  เช่น หากมีขี้ยาง หรือยางก้อนถ้วย พรรคประชาธิปัตย์ ประกันกิโลกรัมละ 23 บาท วันใดที่ราคาตกลงมาเหลือ 15 บาท ก็จะมีส่วนต่าง 8 บาท โอนผ่านธนาคาร ธกส.ให้กับเกษตรกรโดยตรง ไม่มีหายหกตกหล่น ทุจริตไม่ได้ เงินทุกบาท ทุกสตางค์ถึงมือเกษตรกร ส่วนพืชผลการเกษตรอื่น ๆ ก็จะมีนโยบายอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะการจ่ายยา ต้องวินิจฉันปัญหาของประเทศ ดังนั้น เมื่อข้าว ยาง มัน ปาล์ม ข้าวโพด ต้องให้ยารักษาด้วยการประกันรายได้ แต่ผลไม้ ทั้งลำไย หอม กระเทียม ก็คนละขนาน ต้องใช้วิธีการออกมาตรการเชิงรุก อย่างผลไม้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็แก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว จึงยืนยันว่า ราคาผลไม้ในปี 2566 จะดีกว่าปีที่แล้ว และการส่งออกไปยังตลาดสำคัญต่างประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ ได้กรุยทางไว้หมดแล้ว การส่งออกไปประเทศจีนในปีนี้ จะสะดวกกว่าปีที่แล้ว ที่ติดปัญหาโควิด-19 ต้องย้ายการขนส่งทางบกไปส่งทางเรือ แต่ก็ทุลักทุเลช่วงเวลาเดียว เพราะมาตรการชัดเจนเป็นรูปธรรม ทุกอย่างจึงดำเนินการไปด้วยดี และปีนี้จะดีขึ้น อย่างมาตรการอื่น เช่น เกษตรพันธสัญญา นำผู้ซื้อจากใน และต่างประเทศ มาลงนามล่วงหน้ากับเกษตรกร และให้หลักประกันว่า หากเกษตรกร สามารถปลูกผลผลิตให้ได้ตรมมาตรฐานที่ตกลงกัน จะรับซื้อตามราคาที่ตกลงกันทันที โดยมีพระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญาคุ้มครองทั้งผู้ซื้อ และเกษตรกร จึงทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรไม่ตกลงมาติดดิน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ จะเดินหน้าต่อไป


 


สร้างเงิน


นอกจากนั้น ยังมีนโยบายธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานครด้วย ชุมชน และหมู่บ้านละ 2,000,000 บาท เพื่อคนตัวเล็ก ทั้งเกษตรกร แม่บ้าน, วิสาหกิจชุมชน, SME และ Micro-SME เพื่อเป็นแหล่งเงินทุน สำหรับการสร้างเงินให้ตนเอง ครอบครัว และชุมชน และนำไปใช้แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อชดใช้หนี้นอกระบบ ที่มีดอกเบี้ยสูง และมีเงินก้อนสามารถนำมาต่อเงินได้ รวมถึงยังมีนโยบายอื่น ๆ อีกหลายส่วน ที่ทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีข้อสรุปแล้วว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศ และสถานการณ์โลก ไทยจะต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอย่างน้อย 1,000,000 ล้านบาท ผ่านนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ ธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน, กองทุน กบข.ที่จะเปิดโอกาสให้ข้าราชการเบิกเงินออกมาเพื่อซื้อบ้าน หรือปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ ไม่เกิน 30% ของเงินสะสม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของผู้ใช้แรงงาน และตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ที่ผู้ใช้แรงงาน สามารถเบิกเงินออกมาเพื่อซื้อบ้าน หรือปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ ไม่เกิน 30% ซึ่งสาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ เน้นเรื่องบ้าน เนื่องจาก หนี้ครัวเรือน เป็นหนี้บ้านที่อยู่อาศัยถึง 50% จึงถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพื่อให้ GDP  เศรษฐกิจของประเทศโตต่อได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ มีความพร้อม และเตรียมที่มาที่ไปไว้ทั้งหมดชัดเจนทั้งแล้ว เป็นต้น


สร้างคน


นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงนโยบายสร้างคน ผ่านนโยบายการศึกษาเรียนฟรีถึงปริญญาตรีว่า ต่อไปนี้จะต้องใช้ตลาด นำการผลิต เพราะการศึกษาเป็น DNA ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพรรคฯ มีรัฐมนตรีในกระทรวงศึกษาหลายคน ทั้งนายชวน หลีกภัย, นายมารุต บุนนาค, คุณหญิงกัลยา โสภณพนิต, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รวมถึงนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ดังนั้น นโยบายด้านการศึกษาของพรรคฯ จึงมีความต่อเนื่อง และพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เคยเริ่มต้นนโยบายเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งตนเอง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น เป็นคนแรกได้เริ่มดำเนินนโยบาย จึงเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ สามารถทำได้ไว และทำได้จริง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 หลังจากที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เริ่มบริหารราชการแผ่นดินในช่วงปลายปี 2551 ภายใน 4-5 เดือน เยาวชนก็สามารถเริ่มเรียนฟรีได้ 15 ปีอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่อนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้น เพื่อต่อยอดนโยบาย จึงขยายถึงระดับปริญญาตรี แต่จะต้องมีข้อแม้ว่า จะต้องเป็นสาขาวิชาที่ตลาดต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนเรียนแล้วตกงาน แต่ไม่ได้หมายความเพียงว่า จะสนับสนุนให้เยาวชน เรียนเฉพาะวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่สนับสนุนให้เยาวชน ศึกษาในสาขาวิชาที่ตลาดต้องการ เพื่อให้ตลาดนำการผลิต ดังนั้น สาขาวิชาด้านสังคมศาสตร์ เช่น ครู หรือครูศูนย์เด็กเล็กที่ยังขาดแคลน หรือสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมที่ตลาดต้องการ หรือเพื่อป้อนสู่พื้นที่ EEC และจำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมสนับสนุนให้เรียนฟรีถึงปริญญาตรี



“เราไม่ไปบอกแค่เพียงว่า เรียนฟรีถึงปริญญาตรี และบอกชาวบ้านไปเพื่อหวังคะแนนเสียง ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่เรารับผิดชอบ เราถึงบอกว่า ต้องเป็นสาขาที่ตลาดต้องการ นี่คือประชาธิปัตย์ และเป็นทิศทางของพรรคฯ” นายจุรินทร์ กล่าว



นอกจากนั้น ยังมีทั้งการศึกษาตลอดชีวิตผ่านนโยบานอินเทอร์เน็ตฟรี 1,000,000 จุด ซึ่งนอกจาก จะส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ให้ประชาชนมีอินเทอร์เน็ตฟรีตามหมู่บ้าน และชุมชนแล้ว ยังช่วยให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา สามารถมีอินเทอร์เน็ตฟรี เข้าถึงองค์ความรู้ได้ โดยแยกเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 100,000 จุด เป็นต้น


สร้างชาติ 


นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์นโยบายการสร้างชาติว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะสร้างชาติด้วย 3 ประชาธิปไตย ได้แก่ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, ประชาธิปไตยสุจริต ต้องไม่มีกานทุจริตคอร์รับชัน ซึ่งเป็นมะเร็งร้ายของประเทศ และมะเร็งร้ายของระบอบประชาธิปไตยฯ เพราะเมื่อมีการยึดอำนาจครั้งใด หนึ่งในเหตุผลยึดอำนาจ เพราะมีการทุจริตคอร์รับชัน ฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงให้ความสำคัญ เพื่อรักษาประชาธิปไตย และรักษาประเทศ และประชาธิปไตยท้องอิ่ม ที่พรรคฯ ชัดเจนว่า การเดินหน้าประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ประชาชนต้องท้องอิ่มด้วย ต้องแก้ปัญหาปากท้องให้ประเทศ และประชาชนได้ พร้อมมั่นใจว่า ยุทธศาสตร์นโยบายสร้างชาติของพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นทิศทางที่พาประเทศไปสู่อนาคต และเป็นรูปแบบการปกครองประเทศ ที่พรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่า เป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด ที่จะนำไปสู่การสร้างชาติต่อ ๆ ไปในอนาตได้



“นโยบายสร้างชาติของพรรคประชาธิปัตย์ จะทำกำไรให้ประเทศแบบเต็มร้อย เต็มเม็ดเต็มหน่วย สะพาน 100 สะพาน จะได้ไม่หายไป 40 เหลือ 60, ไฟฟ้า 1,000,000 ดวง จะได้ไม่หายไป 600,000 ดวง หายไป 400,000 ดวง เพราะคนทุจริตคอร์รับชัน” นายจุรินทร์ กล่าว



ส่วนจุดแข็งในนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ได้เน้นการลดแลกแจกถาม เหมือนบางพรรคการเมือง จะสามารถแข่งขัน และชนะใจประชาชนได้หรือไม่นั้น นายจุรินทร์ มั่นใจว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ สามารถแข่งได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เน้นนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ทำได้จริง และตกผลึกแล้วทางความคิด ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า และอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ดังนั้น นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นนโยบายที่จับต้องได้ และทำได้จริง มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเชื่อว่า ประชาชนจะซื้อนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์



“หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศนโยบายออกไป สิ่งที่พรรคฯ ประเมินได้ คือ ไม่ว่าพรรคฯ จะลงพื้นที่ใด ประชาชนพอใจ ผู้สมัคร ผู้แทนเขตของพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศได้สะท้อนกลับมา ดังนั้น ถ้าประชาชนไม่ตอบรับ หรือไม่โดนใจประชาชน จะต้องมีเสียงโต้ตอบกลับมาถึงพรรคฯ แล้ว แต่ครั้งนี้ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใด ๆ และทุกคนบอกว่า นโยบายการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคฯ เป็นนโยบายที่ดีที่สุด เป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมที่สุด จึงทำให้มั่นใจว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ สามารถสู้ได้ เพราะมีทั้งกรอบยุทธศาสตร์นโยบาย และตัวนโยบาย มีทิศทางที่ชัดเจน ทั้งเศรษฐกิจ และการศึกษา” นายจุรินทร์ ระบุ


 


นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะมาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของไทย ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ นอกจาก หัวหน้าพรรคฯ และเลขาธิการพรรคฯ แล้ว ยังมีบุคลากรที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ เข้าใจสภาพปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันเป็นอย่างดี และมีแผนทิศทางในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต จึงมั่นใจได้ว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ มีประสบการณ์ และองค์ความรู้ครบถ้วน


 

ส่วนการเตรียมการนโยบายที่จะอัดฉีดสู่เศรษฐกิจฐานราก เพื่ออัดฉีดกำลังเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการประชุมกัน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ และการคุกคามจากเศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัว และเศรษฐกิจหลายประเทศกำลังถกถอย สถาบันการเงินบางแห่งล้มละลาย ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ จึงเตรียมการไว้แล้ว อย่างน้อยหากจะให้เศรษฐกิจของประเทศเดินต่อไปได้ จะต้องอัดฉีดเม็ดเงินอย่างน้อย 1,000,000 ล้านบาท ตามยุทธศาสตร์การนโยบายการสร้างเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของไทยเดินหน้าต่อไปได้แล้ว ยังช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ได้อีกด้วย


 

ส่วนการประเมินจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังการเลือกตั้งนั้น นายจุรินทร์ มั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.มากทีเดียว เพราะจากการประเมินในทุกภาคแล้ว มั่นใจว่า คะแนนนิยมพรรคประชาธิปัตย์ ดีขึ้นทุกภาค อย่างปักษ์ใต้ที่ในการเลือกตั้ง 2562 มี ส.ส. 58 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้เพียง 22 ที่นั่ง แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มี ส.ส.เพิ่มจาก 58 เป็น 60 ที่นั่ง จึงมั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ได้เพียงแค่ 24 แต่จะต้องมากกว่านั้นมาก อาจจะ 1 เท่าตัว ซึ่งมีความเป็นไปได้ เพราะจากการลงพื้นที่ นายจุรินทร์ ระบุว่า พบปฏิกิริยาของชาวปักษ์ใต้ ที่มีต่อเสียงตอบรับพรรคประชาธิปัตย์ แตกต่างจากอดีต เพราะเมื่อก่อนหลังการเลือกตั้ง 2562 จบใหม่ ๆ เชิญประชาชนมาฟังการปราศรัย แค่ 1,000 คน ยังสามารถหาได้ยาก เพราะประชาชนหมดกำลังใจ ท้อถอย แต่วันนี้ ประชาชน และสมาชิก มีขวัญ และกำลังใจดี ฮึกเหิม และพร้อมสู้ และไม่ได้คิดสู้เพียงคนเดียว ยังให้กำลังใจให้หัวหน้าพรรคฯ สู้ด้วย ให้กำลังใจให้ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคฯ สู้


“หลายคนมาบอกว่า ขอโทษนะ การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ไม่ได้เลือก แต่คราหน้าเลือกแน่นอน เพราะชอบ เก่งมาก ดีใจ ผลงานก็ดี ผู้สมัครก็ดี หัวหน้าพรรคฯ ก็ใช้ได้ และอยากให้มีโอกาสได้เติบโตต่อไปในอนาคตทางการเมือง ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นตัวสะท้อนว่า เสียงตอบรับดีขึ้น” นายจุรินทร์ ระบุ


 

นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงพื้นที่การเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพมหานครว่า ก็มีประชาชนมาทักทาย และบอกคล้าย ๆ กันว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้จะช่วยเลือก และไม่ใช่มาบอกเพียงคนเดียว เพราะหลายคนก็คล้าย ๆ กัน ซึ่งถือเป็นกำลังใจที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ประเมินได้ว่า เสียงตอบรับน่าจะดีขึ้น และจากการสัมผัสในรูปแบบอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน


 

“การเลือกตั้ง 2562 พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเลย แต่การเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ จะไม่เป็นอย่างคราวที่แล้วแล้ว และจะไม่ติดลบ เพราะจะต้องมากกว่านี้อีกมาก เพราะหลายที่นั่ง หลายเขต ที่พรรคมีโอกาส” จุรินทร์ ระบุ

 

ส่วนในพื้นที่ภาคกลางนั้น นายจุรินทร์ ก็มั่นใจว่าจะได้มากขึ้น เช่นเดียวกับภาคเหนือ ที่ในการเลือกตั้ง 2562 ได้ ส.ส.เพียงคนเดียว แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ จะไม่ใช่แค่คนเดียว หรือศูนย์ เพราะมั่นใจว่า จะต้องได้ ส.ส.เพิ่มแน่นอน เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคอีสาน ที่การเลือกตั้ง 2562 พรรคประชาธิปัตย์ ได้เพียง 2 ที่นั่ง แต่คราวนี้มั่นใจว่าจะ ไม่ใช่เพียง 2 หรือลดลงเป็น 1 หรือ 0 เพราะประชาธิปัตย์ ก็มั่นใจว่า จะได้เพิ่มขึ้นอีกมาก ทั้งประเทศ ก็มั่นใจว่า จำนวนจะเดินขึ้นแน่นอน


นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงทิศทาง และสถานะของพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งว่า จะต้องอยู่ที่เสียงของประชาชน เพราะประชาชน จะเป็นคนแรกที่ต้องให้คำตอบว่า จะให้ประชาธิปัตย์เท่าใด เช่นเดียวกับทุกพรรคการเมือง ที่ไม่ว่า จะไปจับขั้วกับพรรคการเมืองใด หรือหนีแอบไปรับประทานอาหารกับใคร แต่สุดท้าย ก็หนีไม่พ้นประชาชน ที่จะต้องให้คำตอบก่อน เพราะถ้าประชาชน ยังไม่ให้คำตอบ จะไปจับขั้วกับพรรคการเมืองใด ก็ยังไม่สามารถเป็นจริงได้ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ จึงถือหลักการนี้ เพราะพรรคฯ ยึดมั่นใจระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข หรือระบบรัฐสภา ดังนั้น ระบบนี้ ไม่ว่าพรรคการเมืองใด จะได้มากเท่าใด ก็หนีไม่พ้นคณิตศาสตร์การเมือง เพราะจะต้องมีการรวมเสียงกันในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าพรรคการเมืองเดียวไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ก็จะต้องเป็นรัฐบาลผสม อันเกิดจากเสียงข้างมาก มีเสียงเกิน 250 เสียง ก็จะต้องได้เป็นรัฐบาล เพราะประชาชนสั่งให้เป็นรัฐบาล ดังนั้น จึงจะต้องรอผลการเลือกตั้ง


ส่วนการประเมินรูปแบบรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง 2566 จะเป็นรัฐบาลผสมหลากหลายพรรคการเมือง เหมือนการเลือกตั้ง 2562 หรือไม่นั้น นายจุรินทร์ เห็นว่า พรรคการเมืองขนาดเล็ก จะหายไปมาก เพราะปัจจุบันระบบการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ เลือกคนจากพรรค แยกจากกัน สัดส่วน ส.ส.บัญ๙รายชื่อจึงเปลี่ยน เพราะในปี 2562 พรรคการเมืองใดได้ คะแนนเสียง 70,000 – 75,000 คะแนน ก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จะต้องได้คะแนนมากกว่า 350,000 คะแนน แต่มั่นใจว่า พรรคการเมืองขนาดเล็กจะหายไปมาก จะเหลือเพียงพรรคขนาดกลาง หรือพรรคขนาดใหญ่ เว้นเพียงพรรคการเมืองขนาดเล็กบางพรรคการเมือง ที่จะได้คะแนน 350,000 – 500,000 คะแนน 


นายจุรินทร์ ยังชี้แจงสาเหตุที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนควรเลือกพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่ซื่อสัตย์กับประชาชนทั้งประเทศในทุกภาคเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่ว่ายามทุกข์ หรือยามสุข พรรคประชาธิปัตย์ อยู่กับประชาชนเสมอมา ตลอดระยะเวลา 77 ปีเต็มของพรรคประชาธิปัตย์ และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 78 พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่เป็นสถาบันทางการเมือง และประชาชนมั่นใจได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอนโยบายใดไป ประชาชนลงคะแนนให้แล้ว พรรคฯ จะไม่หายไปไหน และจะยังอยู่ สิ่งใดทำผิดพร้อมรับผิดชอบ สิ่งใดที่ทำถูกก็พร้อมเดินหน้าต่อไปในอนาคต ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศฝากอนาคตไว้ได้ จึงขอความกรุณาช่วยกัน สนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมือง เพื่อทำให้ประเทศชาติยั่งยืนต่อไปในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ประเทศที่ดีขึ้น สำหรับประชาชนคนไทยทุกคนต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก TNN: https://www.tnnthailand.com/home

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง