หุ้นกลุ่มไหนเด่น ! ฝ่าวงล้อมเงินเฟ้อสูง
ในยุคที่ราคาน้ำมันและต้นทุนแรงงานปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากราว 50 - 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วง 1Q2021 เป็นราว 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
โดยล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ประจำเดือน มกราคม 2022 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.5% YoY สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อมุมมองด้านเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างมาก ทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นและมากกว่าคาด รวมถึงกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น เราควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนในปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งถึงแม้ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างในปัจจุบัน แต่ก็มีหุ้นบางอุตสาหกรรมที่อาจไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าว และยังสามารถเติบโตได้ดี คือ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology) และสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary)
ด้วยลักษณะของหุ้นกลุ่ม Technology และ Consumer Discretionary ที่มีความแข็งแกร่งของ Brand ซึ่งบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ใช้สินค้าและบริการ มากกว่าเพียงการใช้ประโยชน์เพียงอย่างเดียว ทำให้สามารถปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นตามราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ (High Pricing Power) ส่งผลให้หุ้นทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวในปัจจุบัน
โดย TISCO ESU ได้ลองเปรียบเทียบอัตรากำไรสุทธิของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในดัชนี S&P 500 ในช่วง 4Q2021 และ 2Q2021 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากราว +5.0% YoY เป็นราว +7.0% YoY พบว่า หุ้นในกลุ่ม Technology และ Consumer Discretionary ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิที่ 25% และ 8%
ตาม ลำดับ (4Q2021) สามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้บางส่วนในช่วงที่ผ่านมา ต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลงราว 3 - 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ กลุ่ม Financial และ Utilities
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ในปัจจุบันเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ต้นทุนของสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น และกดดันอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่หุ้นในกลุ่ม Technology และ Discretionary สามารถรักษาอัตรากำไรตลอดจนมีอัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงดังกล่าว ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนเข้ามาในราคาหุ้นที่สามารถปรับตัว Outperform หุ้นกลุ่มอื่นในปัจจุบันได้
ที่มา ธนาคารทิสโก้
ภาพประกอบ ธนาคารทิสโก้