รีเซต

ทอมกับเจอร์รี่ : แมวกับหนูคู่หูคู่กัดที่ครองใจผู้ชมการ์ตูนมาครบ 80 ปี

ทอมกับเจอร์รี่ : แมวกับหนูคู่หูคู่กัดที่ครองใจผู้ชมการ์ตูนมาครบ 80 ปี
บีบีซี ไทย
24 กุมภาพันธ์ 2563 ( 01:08 )
356
ทอมกับเจอร์รี่ : แมวกับหนูคู่หูคู่กัดที่ครองใจผู้ชมการ์ตูนมาครบ 80 ปี
Alamy

การ์ตูนที่บอกเล่าเรื่องราวของแมวที่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจกับหนูตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านของมัน และคิดหาหนทางกำจัดหนูตัวนี้ด้วยการวางกับดักโดยใช้ชีสก้อนโตเป็นเหยื่อล่อ ขณะที่เจ้าหนูตัวน้อยแสนฉลาดกลับรู้ทันแผนการของเจ้าเหมียว และฉกชีสไปกินได้อย่างอิ่มท้องและปลอดภัย

คุณอาจพอเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เรื่องราวของคู่ปรับตลอดกาลคู่นี้มักลงเอยแบบเดียวกันแทบทุกครั้ง นั่นคือ แมวจะต้องร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เพราะแผนการกำจัดหนูของมันให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม

นี่คือเนื้อเรื่องที่ผู้ชมต่างคุ้นเคย แต่มีน้อยคนที่จะล่วงรู้ถึงเรื่องราวที่แท้จริงในประวัติศาสตร์อันยาวนาน 80 ปีของการ์ตูนเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องการคว้ารางวัลออสการ์ ไปจนถึงความลับเบื้องหลังการผลิตการ์ตูนเรื่องนี้หลังม่านเหล็กในช่วงสงครามเย็น ซึ่งล้วนทำให้ทอมกับเจอร์รี่ (Tom and Jerry) เป็นตัวการ์ตูนที่ครองหัวใจผู้ชมทั่วโลก

BBC

เรื่องราวของคู่หูคู่กัดนี้กำเนิดขึ้นจากความสิ้นหวัง ขณะนั้นแผนกหนังการ์ตูนของบริษัท เมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ (เอ็มจีเอ็ม) ซึ่งนักสร้างการ์ตูนอย่าง บิล ฮันนา และ โจ บาร์เบรา ทำงานอยู่นั้นกำลังประสบปัญหาในการแข่งขันกับค่ายอื่น ๆ ซึ่งมีการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จครองใจผู้ชมอย่าง พอร์กี พิก (Porky Pig) และ มิกกี้ เมาส์ (Mickey Mouse)

ความรู้สึกดังกล่าวทำให้นักสร้างการ์ตูนทั้งสอง ซึ่งต่างอยู่ในวัยไม่ถึง 30 ปี พยายามระดมความคิดสร้างการ์ตูนเรื่องใหม่ขึ้น โดยบาร์เบรา บอกว่าเขาชอบแนวคิดง่าย ๆ ของการ์ตูนที่มีโครงเรื่องเกี่ยวกับแมวและหนู ความขัดแย้ง และการไล่จับกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการ์ตูนแนวนี้ออกมาแล้วหลายเรื่องก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ พุส เก็ตส์ เดอะ บูท (Puss gets the Boot) แอนิเมชันเรื่องหนูกับแมวเรื่องแรกของทั้งคู่จึงถือกำเนิดขึ้น โดยออกฉายในปี 1940 และได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม อีกทั้งยังทำให้ค่ายเอ็มจีเอ็มได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์การ์ตูนสั้น และแม้ว่าฮันนาและบาร์เบราจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้เครดิตจากผลงานชิ้นนี้

ในตอนแรกผู้บริหารค่ายแนะว่าพวกเขาไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้กับการ์ตูนเรื่องนี้ ทว่าความคิดนี้ต้องเปลี่ยนไปหลังมีจดหมายจากผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในวงการสอบถามว่าเมื่อใดเธอจะได้ชมตอนใหม่ของ "การ์ตูนแมวกับหนูที่แสนวิเศษ" เรื่องนี้อีก

นี่จึงทำให้ตัวการ์ตูนแมวกับหนูที่ชื่อ แจสเปอร์ และ จิงซ์ ในเรื่องพุส เก็ตส์ เดอะ บูท กลายมาเป็น ทอมกับเจอร์รี่ ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

LMPC via Getty Images
เรื่องของคู่หูสุดแสบนี้ไม่เพียงจะครองใจเด็ก ๆ แต่เนื้อเรื่องที่แฝงความตลกร้ายยังเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่อีกด้วย

บาร์เบรา บอกว่า ตอนทำการ์ตูนเรื่องนี้แทบจะไม่เคยมีการหารือกันอย่างจริงจังว่าจะให้ตัวละครไม่มีบทพูด เพราะการโตมากับหนังเงียบของชาร์ลี แชปลิน พวกเขาต่างรู้ดีว่าตัวการ์ตูนสามารถทำให้ผู้ชมหัวเราะได้โดยไม่ต้องมีบทพูดใด ๆ

พวกเขาใช้ดนตรีที่แต่งโดย สกอตต์ แบรดลีย์ เพื่อประกอบท่าทาง ส่วน ฮันนา เป็นผู้ให้เสียงกรีดร้องคล้ายมนุษย์ของทอม

ในช่วง 2 ทศวรรษหลังจากนั้น ฮันนาและบาร์เบรา ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนสั้นทอมกับเจอร์รี่กว่า 100 ตอน แต่ละตอนใช้งบประมาณในการผลิตถึง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงทำให้ผลิตออกมาได้ไม่มากนักในแต่ละปี

การ์ตูนทอมกับเจอร์รี่ในช่วงนี้ถูกยกให้เป็นตอนที่ดีที่สุดจากลายเส้นการ์ตูนวาดมือที่คมชัด และฉากหลังที่เต็มไปด้วยรายละเอียด จนทำให้มันคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้ถึง 7 รางวัล

"ผมพนันได้เลยว่าเมื่อคุณดูมันตอนยังเป็นเด็ก หรือเมื่อคุณได้มาดูในตอนนี้ คุณแทบจะบอกไม่ได้เลยว่ามันผลิตขึ้นเมื่อใด" เจอร์รี่ เบค นักประวัติศาสตร์การ์ตูนกล่าว

"มันมีบางอย่างเกี่ยวกับการ์ตูนแอนิเมชัน มันยังสดใหม่เสมอ และไม่จืดจาง" เบคกล่าว "ภาพวาดก็คือภาพวาด มันเหมือนกับเวลาคุณไปดูภาพวาด ใช่คุณรู้ว่ามันมาจากยุค 1800 หรือ 1700 แต่มันก็ยังสื่อสารกับคุณได้ในยุคปัจจุบัน"

"นี่คือเสน่ห์ของการ์ตูนเหล่านี้ เราได้เรียนรู้ว่ามันคือศิลปะชั้นดี ไม่ใช่ความบันเทิงที่ล้าสมัยและไร้ค่า"

Alamy
ทอมกับเจอร์รี่เต้นไปกับ จีน เคลลี ในภาพยนตร์เพลงภาคต่อเรื่อง Anchors Aweigh ที่ฉายในปี 1945

Getty Images
ทั้งคู่ว่ายน้ำไปกับ เอสเธอร์ วิลเลียมส์ นักแสดงและนักว่ายน้ำหญิงในภาพยนตร์ที่ฉายเมื่อปี 1953 เรื่อง Dangerous When Wet

เมื่อโปรดิวเซอร์ เฟรด ควิมบี เกษียณอายุช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 ฮันนาและบาร์เบรา ก็เข้ารับช่วงต่องานในแผนกการ์ตูนของเอ็มจีเอ็ม ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการตัดงบของบริษัท

บรรดาผู้บริหารบริษัทซึ่งกำลังเผชิญความท้าทายจากกระแสนิยมการชมโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้น ได้ตระหนักว่าพวกเขาสามารถทำเงินได้พอ ๆ กันในการนำภาพยนตร์การ์ตูนสั้นเรื่องทอมกับเจอร์รี่มาฉายซ้ำมากว่าที่จะผลิตตอนใหม่ ๆ ออกมา

เมื่อแผนกการ์ตูนของเอ็มจีเอ็มถูกยุบลงในปี 1957 ฮันนาและบาร์เบรา จึงเปิดบริษัทโปรดักชันของตัวเองขึ้น

แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี เอ็มจีเอ็ม ได้ตัดสินใจชุบชีวิตทอมกับเจอร์รี่ขึ้นมาอีกครั้งโดยไร้ทีมผู้ผลิตชุดดั้งเดิมทั้งสอง

ในปี 1961 บริษัทได้ว่าจ้างสตูดิโอในกรุงปรากของสาธารณรัฐเช็กผลิตการ์ตูนทอมกับเจอร์รี่เพื่อประหยัดต้นทุน โดยมี จีน ดิตช์ นักสร้างการ์ตูนที่เกิดในนครชิคาโก เป็นหัวหน้าทีมรีเมคทอมกับเจอร์รี่ แต่พวกเขาต้องประสบความยากลำบากจากงบประมาณที่น้อยนิด และพนักงานที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับทอมกับเจอร์รี่ต้นฉบับ

สตูดิโอแห่งนี้ยังผลิตตอนต่าง ๆ ของการ์ตูนเรื่องอื่นด้วย เช่น ป๊อปอาย (Popeye) ขณะที่รายชื่อชาวเช็กที่ปรากฏขึ้นช่วงเครดิตท้ายเรื่องก็ถูกเปลี่ยนให้ดูเป็นอเมริกันเพื่อป้องกันผู้ชมคิดว่าการ์ตูนเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์

https://www.youtube.com/watch?v=LaFtAcIrGWA&t=773s


"เพราะม่านเหล็ก ผู้ผลิตการ์ตูนของเราที่สตูดิโอในปรากแห่งนี้จึงไม่เคยได้ดูการ์ตูนทอมกับเจอร์รี่มาก่อน" ดิตช์ ให้สัมภาษณ์กับ Radio.cz ในภายหลัง

เขาทราบดีว่าการทำภาคต่อของการ์ตูนคลาสสิกพวกนี้จะทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากแฟน ๆ และการ์ตูนทอมกับเจอร์รี่ทั้ง 13 ตอนของเขาก็ถูกจัดให้เป็นตอนที่แย่ที่สุด

ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ ดิตช์ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับชื่อเสียงไม่ดีของการ์ตูนของเขา อีกทั้งยังเปิดเผยว่าเขาเคยได้รับคำขู่ฆ่าจากการสร้างการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย

หลังจากยุคของ ดิตช์ การผลิตทอมกับเจอร์รี่ก็ตกไปอยู่กับ ชัค โจนส์ ผู้สร้างชื่อจากการผลิต ลูนีย์ ตูนส์ (Looney Tunes) ให้ค่ายวอร์เนอร์ บราเดอร์ส

ภายใต้การควบคุมของโจนส์ คิ้วของทอมเริ่มหนาขึ้นและใบหน้าเหยเกมากขึ้น ดูเหมือนกับตัวละคร ดร.ซูสส์ ในเรื่องเดอะกรินช์ ที่โจนส์สร้างนั่นเอง

Alamy
ชัค โจนส์ ควบคุมการผลิตการ์ตูนทอมกับเจอร์รี่ 34 ตอน ในฮอลลีวูด ระหว่างปี 1963 - 1967

มาร์ก คอสเลอร์ วัย 72 ปี คือหนึ่งในคนจำนวนไม่น้อยที่มีความทรงจำอันอบอุ่นเกี่ยวกับทอมกับเจอร์รี่ เขาลากพ่อไปดูการ์ตูนสั้นเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเริ่มผลิตการ์ตูนของตนเอง และยึดอาชีพในแวดวงนี้มายาวนาน

"งานส่วนมากมีพื้นฐานมาจากลักษณะของตัวการ์ตูนทั้งสอง รวมทั้งจังหวะเวลา ดนตรีประกอบ และทุกสิ่งทุกอย่าง…มันเป็นสูตรที่ลงตัว ในการที่ทุกอย่างทำงานสอดประสานกัน" คอสเลอร์กล่าว

Mark Kausler
คอสเลอร์ เคยร่วมผลิตการ์ตูนดังหลายเรื่องเช่น Who Framed Roger Rabbit และ Felix the Cat

ที่บริษัทเอ็มจีเอ็ม "โทรทัศน์" ถูกมองว่าเป็น "คำหยาบ" แต่หลังจากออกมาทำสตูดิโอของตัวเอง ฮันนาและบาร์เบราก็หันมาทำงานกับสื่อชนิดนี้ โดยผลิตการ์ตูนให้มีตอนที่ยาวขึ้นและใช้งบน้อยลง ปรับรูปแบบการ์ตูนของพวกเขาโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อประหยัดเวลาและเงิน

การ์ตูนของพวกเขาเป็นผู้นำในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กมาหลายทศวรรษ ความสำเร็จของทั้งคู่เริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 โดยมีการ์ตูนยอดฮิต เช่น ฮัคเคิลเบอร์รี ฮาวนด์ (Huckleberry Hound), หมีโยกี้ (Yogi Bear), มนุษย์หินฟลิ้นท์สโตนส์ (The Flintstones), ท็อปแคท ( Top Cat) และสกูบี้-ดู (Scooby Doo)

ช่วงทศวรรษที่ 1970 ทั้งสองกลับไปทำทอมกับเจอร์รี่ เมื่อถึงตอนนั้นการ์ตูนตอนแรก ๆ หลายตอนถูกมองว่า "มีความรุนแรงเกินไป" ตามแนวทางใหม่ของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ในสหรัฐฯ ส่งผลให้ตอนใหม่ ๆ ซึ่งทอมกับเจอร์รี่เป็นมิตรมากกว่าศัตรู จึงไม่ได้รับความนิยมเท่ากับตอนแรก ๆ

Bettmann via Getty
ฮันนา (ซ้าย) และ บาร์เบรา (ขวา) พยายามดึงพนักงานเอ็มจีเอ็มชุดเก่ากลับมาร่วมงานให้ได้มากที่สุด

Warner bros via Getty Images
The Jetsons คือหนึ่งในการ์ตูนยอดฮิตทางโทรทัศน์ที่ผลิตโดยฮันนา และ บาร์เบรา ในช่วงทศวรรษที่ 1960

เช่นเดียวกับการ์ตูนในยุคนั้น ชื่อเสียงของทอมกับเจอร์รี่แปดเปื้อนไปกับเสียงพิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนำเสนอภาพคนเชื้อชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวละคร "แมมมี ทู ชูส์" (Mammy Two Shoes) ซึ่งเป็นแม่บ้านผิวดำและพูดสำเนียงคนภาคใต้ออกมาอย่างเกินจริง อีกทั้งมักปรากฏในฉากเฉพาะส่วนเอวลงไป ที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการล้อเลียนทางเชื้อชาติ บางตอนของการ์ตูนเรื่องนี้ยังมีมุกตลกหน้าดำและถ่ายทอดลักษณะของคนเชื้อสายเอเชียและชนพื้นเมืองอเมริกันในทางที่ไม่ดีด้วย

ปัจจุบันเนื้อหาลักษณะนี้มักถูกตัดออกไปในการนำออกฉายซ้ำ แต่ในปี 2014 แอมะซอนไพร์ม ได้ขึ้นคำเตือนในการ์ตูนชุดที่มีปัญหานี้ว่ามีเนื้อหาที่ "มีอคติทางเชื้อชาติ"

อย่างไรก็ตาม ทอมกับเจอร์รี่ฉบับที่มีมุกตลกรุนแรง และเนื้อหาตลกร้ายนั้นยังคงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทั่วโลกในปัจจุบัน และปรากฏอยู่ในช่องโทรทัศน์สำหรับเด็กทั่วโลก ตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงปากีสถาน รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่เกมใหม่ทางโทรศัพท์มือถือก็มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านคนในจีน

นอกจากแวดวงบันเทิงแล้ว ทอมกับเจอร์รี่ยังแผ่อิทธิพลไปถึงแวดวงอื่น ๆ โดยในปี 2016 การ์ตูนเรื่องนี้กลายเป็นข่าวที่สร้างความประหลาดใจให้หลายฝ่าย เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียิปต์คนหนึ่งพยายามกล่าวโทษทอมกับเจอร์รี่ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านเคยเปรียบความสัมพันธ์ของอิหร่านกับสหรัฐฯ ว่าเหมือนกับทอมกับเจอร์รี่อย่างน้อย 2 ครั้ง

India Today via Getty Images
ทอมกับเจอร์รี่ถูกนำออกฉายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

Getty Images
ภาพวาดทอมกับเจอร์รี่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในอิรักเมื่อปี 2014

ทอมกับเจอร์รี่ยังเป็นการ์ตูนที่ออกอากาศทางบีบีซีอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ และผลสำรวจความเห็นประชาชนในปี 2015 ได้ยกให้ทอมกับเจอร์รี่เป็นการ์ตูนยอดนิยมอันดับหนึ่งในหมู่ผู้ใหญ่ชาวอังกฤษ

นับตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 80 ปีก่อน เรื่องราวของแมวกับหนูคู่นี้ได้ถูกนำไปผลิตเป็นทุกอย่างตั้งแต่การ์ตูนสำหรับเด็กไปจนถึงภาพยนตร์เพลงในปี 1992 ที่ทอมกับเจอร์รี่มีบทพูดและบทร้องเพลง

บิล ฮันนา เสียชีวิตในปี 2001 ขณะที่โจ บาร์เบรา เสียชีวิตในปี 2006 โดย 1 ปีก่อนที่เสียชีวิต บาร์เบราได้รับเครดิตเป็นครั้งสุดท้ายในภาพยนตร์การ์ตูนสั้นเรื่องทอมกับเจอร์รี่ และถือเป็นครั้งแรกที่มีเครดิตชื่อของเขาโดยปราศจากฮันนา คู่หูผู้ร่วมสร้างสรรค์การ์ตูนเรื่องนี้

"เราเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง และเราต่างเคารพในงานของกันและกันอย่างมาก" บาร์เบรา กล่าวถึงมิตรภาพกับฮันนา

Alamy
ภาพยนตร์เรื่องทอมกับเจอร์รี่ ตอน ช่วยเพื่อนหาพ่อ (Tom and Jerry: The Movie) ที่ออกฉายในปี 1992 ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าที่ควร
Warner Bros Animation
ทอมกับเจอร์รี่เวอร์ชันใหม่ที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้การวาดด้วยมือ เริ่มออกฉายในปี 2014

ค่ายวอร์เนอร์ บราเดอร์ส ซึ่งปัจจุบันถือลิขสิทธิ์ทอมกับเจอร์รี่ จะนำภาคใหม่ของการ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายช่วงก่อนคริสต์มาสปีนี้

สำหรับเจอร์รี่ เบค เขาเห็นว่า ความเป็นอมตะของทอมกับเจอร์รี่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากลักษณะของตัวละครที่เชื่อมโยงได้กับทุกคน

"ผมคิดว่าคนส่วนมากอาจเปรียบตัวเองกับเจ้าหนูน้อยเจอร์รี่ เพราะชีวิตเรามักมีผู้คอยกดขี่อยู่เสมอ"

"เรามักมีใครคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้างาน เจ้าของบ้านเช่า หรือนักการเมืองที่เป็นแบบนั้น ในขณะที่เราพยายามใช้ชีวิตของเรา แต่จะมีใครบางคนคอยก่อกวนอยู่เสมอ" เบคกล่าว