หุ้น 4 กลุ่ม อ่วมพิษปิดแคมป์คนงาน - คุมเข้มโควิด 10 จังหวัด เป็นเวลา 1 เดือน
ข่าววันนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินผลกระทบจากกการที่ศบค.ประกาศมาตรการควบคุมการระบาดชุดใหม่ ในพื้นที่ 10 จังหวัด เป็นเวลา 30 วัน โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือ
1. ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง : ได้รับผลกระทบคำสั่งปิดสถานที่ก่อสร้าง แคมป์คนงานและหยุดงานก่อสร้างใน กทม. และปริมณฑล 1 เดือน ส่งผลลบโดยตรงต่อทั้งผู้รับเหมารายใหญ่อย่าง ITD,CK,STEC,UNIQ รายกลางอย่าง NWR,SYNTEC,PREB และผู้รับเหมาเสาเข็มอย่าง SEAFCO และ PYLON ถือเป็นปัจจัยลบที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหาเหล็กเส้นราคาแพงที่กำลังเผชิญอยู่ และยังมีผลต่อเนื่องไปตลอด Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรวมถึงผู้ว่าจ้างที่เป็นเจ้าของโครงการ
แต่จะไม่กระทบกับบริษัทรับเหมาอย่าง TTCL, STPI, BJCHI, SRICHA และ SQ ที่ทำงานอยู่นอกพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.5 เดือน เนื่องจากคนงานบางส่วนได้เคลื่อนย้ายออกจากแคมป์คนงานทันทีในช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และจะไม่กลับเข้ามาทำงานจนกว่าจะมีความมั่นใจว่าสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้วจริงๆ ประเมินผลกระทบเป็น 2 ส่วนหลัก คือ
ผลกระทบด้านรายได้ จะเกิดขึ้นทันทีในช่วงไตรมาส3/64 โดยบริษัทที่มี Backlog ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล สัดส่วนสูงกว่าก็จะได้รับผลกระทบมากกว่า จากผลการวิเคราะห์พบว่า CK,SYNTEC จะได้รับผลกระทบสูงที่สุด เนื่องจากงานในมือปัจจุบันมากกว่า 80-90% อยู่ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวมไปถึงผู้รับเหมาเสาเข็มอย่าง SEAFCO และ PYLON ที่งานเกือบทั้งหมดก็อยู่ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลเช่นเดียวกัน ขณะที่ NWR ได้รับผลกระทบสูงรองลงมา โดยมีสัดส่วน Backlog ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล 66% ส่วน STEC และ ITD ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะมีสัดส่วน Backlog ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลประมาณ 47% และ 17% ตามลำดับ
ผลกระทบด้านต้นทุน เกิดจากความล่าช้าในงานก่อสร้าง แม้บริษัทรับเหมาก่อสร้างอาจได้รับการขยายเวลางานก่อสร้างจากผู้ว่าจ้าง แต่จะไม่ได้รับเงินชดเชยที่เกิดจากระยะเวลาการก่อสร้างที่นานขึ้น เช่น ค่าโสหุ้ย ค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องจักรและค่าแรงคนงานที่ต้องจ่ายนานขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา Cost Overrun จากการต้องทบทวนประมาณการต้นทุนงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มี Net Profit margin เฉลี่ยต่ำมากอย่าง ITD,NWR จะมีความสามารถในการรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มได้ต่ำกว่า CK และ STEC
ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั้งด้านรายได้และอัตรากำไร หากต้องหยุดธุรกิจเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน มีความเสี่ยงสูงที่ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างต่างๆลง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนและเต็มไปด้วยปัจจัยลบ ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด แต่สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้นแนะนำ ซื้อ STEC (FV@B 18) ที่มีพื้นฐานมั่นคงที่สุดในบรรดาบริษัทรับเหมาฯรายใหญ่
2. กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย : กระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน เนื่องจากต้องหยุดก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบ และคอนโดฯ ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งมอบโครงการล่าช้ากว่ากำหนด แต่อย่างไรก็ดีหากการปิดชั่วคราว 1 เดีอน เชี่อว่าผู้ประกอบการจะยังสามารถจัดการ และบริหารงานก่อสร้างได้ และปกติตามสัญญาการส่งมอบโครงการ โดยเฉพาะคอนโดฯ จะมีการเผื่อเวลางานก่อสร้างในสัญญาไว้ราว 2 เดีอน และส่วนใหญ่จะเสร็จก่อนกำหนด แต่กรณีหากเกิดปัญหาจริง อาจใช้คำสั่งของภาครัฐ ในการอธิบายต่อลูกค้าถึงปัญหาความล่าช้า เพี่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องได้
ภายใต้สถานการณ์ปิดแคมป์ แม้กระทบต่อก่อสร้างโครงการใหม่ แต่ในการขายและโอน อาจไปเน้นระบายสต๊อกโครงการเดิมที่ก่อสร้างเสร็จแล้วแทน โดย ณ 1q64 ผู้ประกอบการยังมีสต๊อกคอนโดที่สร้างเสร็จแล้วราว 1 แสนล้านบาท
เบี้องต้น กลุ่มอสังหา ใน coverage ได้แก่ ANAN, AP, ASW, LPN, LH ,NOBLE, PSH QH, ORI, SIRI, SC, SPALI, SENA
3. กลุ่มห้างสรรพสินค้า : กระทบต่อ CPN, SF แม้ไม่ได้มีผลต่อยอดขายโดยตรง เพราะโครงสร้างรายได้หลักอยู่ในรูปแบบรายได้ค่าเช่า แต่การปิดห้างเร็ว และร้านอาหารห้ามรับทานในร้าน ย่อมกระทบต่อ traffic และ การให้ส่วนลดค่าเช่าแก่ร้านค้ายังมีอยู่ต่อเนี่อง
4. กลุ่มค้าปลีก : ประเมินผลกระทบจำกัด และไม่เปิด Downside ต่อประมาณการอย่างมีนัย
ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากมาตรการที่ 1 คือ กลุ่มร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง DOHOME, HMPRO (Mega Home 10% ของยอดขายรวม) และ CRC (ไทวัสดุ ราว 15% ของยอดขายรวม) ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากการหยุดงานก่อสร้าง จากการรวบรวมสัดส่วนรายได้เบื้องต้น เป็นสัดส่วนรายได้ในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และรายได้จากกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง ต่อยอดขายรวม จะพบว่าเบื้องต้น DOHOME มีสัดส่วนยอดขายจากพื้นที่ + กลุ่มสินค้าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดราว 18% ส่วน HMPRO และ CRC ไม่มีนัยฯ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน่าจะคาดหวัง Pent-up demand จากการกลับมาเร่งงานก่อสร้างเพื่อชดเชยได้บางส่วน จึงยังคงประมาณการเดิมไว้ก่อน
ขณะที่ มาตรการที่ 2 ปิดห้าง นับจาก 21.00 น. ประเมินเป็น Sentiment ลบต่อ CRC, HMPRO, ILM, BJC, MAKRO, COM7 และ SPVI รวมถึง CPALL ที่ถือหุ้นใน MAKRO (ถือหุ้น 93.08%) และไฮเปอร์มาร์เก็ต Lotus (ถือหุ้น 40%) แต่เชื่อว่าผลกระทบจะยังจำกัด เนื่องจากช่วงเวลาที่ต้องปิดเร็วขึ้นไม่ใช่ช่วงที่มีปริมาณผู้ใช้บริการสูง รวมถึงช่วงเวลาที่เปิดบริการได้ ยังให้บริการทุกแผนกตามปกติ ขณะที่ร้านสะดวกซื้อยังสามารถให้บริการ 24 ชั่วโมงตามเดิม ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยศึกษา Sensitivity analysis ของ SSSG ที่ลดลง 1% จะกระทบต่อกำไรเฉลี่ยราว 1%-3% โดยรายที่ฐานธุรกิจเล็ก อาทิ SPVI DOHOME จะกระทบสูง ขณะที่รายใหญ่ อาทิ HMPRO, BJC, CPALL, MAKRO จะกระทบน้อย
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการล็อกดาวน์ คือ
กลุ่มถุงพลาสติก : ASPS ประเมินจะได้ประโยชน์จากมาตรการไม่ให้กินที่ร้าน ต้องสั่งกลับบ้าน จะทำให้กล่องใส่อาหาร บรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร จะได้ประโยชน์ ถือจะเป็นบวกต่อ หุ้น SCGP(FV@ 65.0) ซึ่งมีรายได้จาก Food Packaging ราว 4% , หุ้น TPLAS (ฝ่ายวิจัยไม่ได้ทำการศึกษา) และหุ้น EPG (ฝ่ายวิจัยไม่ได้ทำการศึกษา)
กลุ่มโรงพยาบาล : ประเมินได้ปัจจัยบวกจากการให้บริการตรวจ และรักษา Covid เพิ่มขึ้นมากขึ้น คือ BCH(FV@ 20.10) , CHG(FV@ 3.14), BDMS(FV@ 24.0)
ธุรกิจเกมส์ : หลัก ๆ คือ AS(FV@ 15.0) ประเมินได้ปัจจัยบวกจากประชาชนอยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน โดยเฉพาะวัยรุ่น คาดจะเล่นเกมส์มือถือ และ Computer มากขึ้น ซึ่งแนวโน้มการเติบโตอุตสาหกรรมเกมออนไลน์โดยเฉพาะเกมบนมือถือมีการเติบโตชัดเจน และ AS ทิศทางกำไรเป็นขาขึ้นโดยเฉพาะครึ่งปีหลังที่มีเกมเปิดใหม่