นายกฯ มอบหมายคลัง หารือปรับแผนดีลสหรัฐฯ หลังศาลสั่งระงับมาตราการ ‘ภาษีทรัมป์’

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าของรัฐบาลไทย กรณีที่ศาลการค้าระหว่างประเทศในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีคำตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีนำเข้าครอบคลุมทุกประเทศ เนื่องจากขัดต่อบทบาทของรัฐสภาในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีระบุว่าตนเองได้เห็นข่าวดังกล่าวแล้ว และเมื่อถามว่าจะมีผลอย่างไรต่อประเทศไทยหรือไม่ นายกฯ ระบุว่า เราให้เป็นกระบวนการฝั่งนั้นไปว่า สุดท้ายจะมีผลอย่างไร แต่ในส่วนของเราก็ต้องทำต่อ ต้องเตรียมความพร้อมต่อ จะหยุดชะงักไม่ได้
ขณะเดียวกันในช่วงที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเองก็ได้หารือกับชาติสมาชิกประเทศอื่นๆ เรื่องของภาษีของสหรัฐฯ ทุกคนพูดตรงกันว่าตอนนี้ทุกประเทศอยู่ในระดับเดียวกับประเทศไทย และก็ส่งข้อเสนอไปและรอคำตอบว่าจะได้นัดพูดคุยเมื่อใด ยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ช้าไป เพราะทุกประเทศเองต่างก็อยู่ระหว่างการรอวันพูดคุยเหมือนกัน ซึ่งอยู่ในกรอบ 90 วันที่สหรัฐฯกำหนดไว้ เพราะฉะนั้นจึงยังสบายใจได้อยู่
ส่วนกรณีกรอบระยะเวลา 90 วันที่ไทยยื่นข้อเสนอไป ได้วันที่จะนัดพูดคุยหรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้วันที่ชัดเจน และต้องรอทางสหรัฐฯนัดมาอีกครั้ง ซึ่งคณะทำงานที่ไม่เป็นทางการเองก็ยังติดต่อได้อยู่
เมื่อถามว่าตอนนี้ถือเป็นสัญญาณบวกใช่หรือไม่ นายกฯ ยืนยันว่า เป็นสัญญาณบวก เพราะยังไม่มีเรื่องลบว่าสหรัฐฯจะไม่คุยแล้ว และที่ผ่านมาเคยโดนถามเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐฯก็ไม่มีอะไร เข้าใจกันได้แล้ว
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง กรณีศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเรียกเก็บเป็นวงกว้างต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ระบุว่านายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ไปพูดคุยอยู่ที่บ้านพิษณุโลก ว่า เมื่อมีคำสั่งศาล เราต้องมีการปรับเปลี่ยน รองรับกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ต้องดำเนินการอย่างไร เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ แต่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณ ทางรัฐบาลก็ยินดีรับฟังข้อเสนอการปรับเปลี่ยนงบประมาณที่เป็นประโยชน์จากทุกพรรคการเมือง