รีเซต

“น้ำท่วมภาคใต้” ราคาที่ต้องจ่าย กับความเสียหายเศรษฐกิจ

“น้ำท่วมภาคใต้” ราคาที่ต้องจ่าย กับความเสียหายเศรษฐกิจ
TNN ช่อง16
28 พฤศจิกายน 2568 ( 13:42 )

สถานการณ์ “น้ำท่วมภาคใต้” ในหลายจังหวัดยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาที่ต้องเผชิญกับปริมาณน้ำฝนที่สูงที่สุดในรอบ 300 ปี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ ซึ่งสงขลาเป็น จังหวัดที่เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจของภาคใต้ และของประเทศไทย

สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ยังคงดำเนินต่อไปมากกว่าสัปดาห์ และขยายวงกว้างไปหลายจังหวัด ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา โดยปริมาณฝนวัดได้มากกว่า 300-500 มม. ส่งผลกระทบกับประชาชนหลายล้านคน ภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงักลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท และอาจจะมีความเสียหายเพิ่มขึ้นอีก หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และยังคงยืดเยื้อต่อไป

โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้ประเมินผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีกรอบในการประเมินผลกระทบ ที่หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท

ขณะทีศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ ประเมินความเสียหายเบื้องต้นกว่า 2.5 หมื่นลบ. โดยได้รับผลกระทบทันทีจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งพอจะประมาณได้ ส่วนความเสียหายต่อสินทรัพย์ ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า เพราะความเสียหายอาจทยอยรับรู้ในอนาคตโดยหลายภาคส่วน นอกเหนือไปจากครัวเรือน เช่น รัฐบาล สถาบันการเงิน คู่ค้าธุรกิจต่าง ๆ

และเมื่อเราเจาะลึกลงไปยังหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกรทบมากที่สุดคือ สงขลา พื้นที่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคใต้ และประเทศไทย ทั้งในด้านของภาคบริการ การท่องเที่ยว การค้าชายแดน และเกษตรกรรม โดยความเสียหายจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง และการผลิตอุตสาหกรรม เช่น เกษตร และอาหารแปรรูป ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 56% และ 18% ตามลำดับในจังหวัดสงขลา รวมไปถึงการหยุดให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง ไฟฟ้า และประปา ที่มีสัดส่วนกว่า 3%

โดยจังหวัดสงขลาในทางภูมิศาสตร์มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 27 ของประเทศ และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ เป็นรองเพียงแค่สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ในจังหวัดสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 14 ของประเทศไทย และสูงที่สุดในภาคใต้ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 250,000 ล้านบาท และยังเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวประชากรอยุ่ที่มากกว่า 150,000 บาท สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคใต้

ในขณะเดียวกันจังหวัดสงขลามีโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลักจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพารา, การแปรรูปสัตว์น้ำ, และอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และการผลิตพลังงานชีวมวล รวมถึงการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภาคบริการด้านการแพทย์ และสถานศึกษาที่ดึงดูดประชากรจากจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาใช้บริการได้จำนวนมาก

ทางด้านของการการค้าชายแดนก็เช่นเดียวกัน สงขลาถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผ่านด่านสะเดา ทำให้มีมูลค่าการค้ารวมทั้งการนำเข้า และส่งออกสูงอยู่ที่ประมาณปีละ 500,000 ล้านบาท ขณะที่อำเภอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ มีตลาดค้าส่ง และค้าปลีกที่ดึงดูดกำลังซื้อจากภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน

อีกหนึ่งความสำคัญของสงขลากับระบบเศรษฐกิจ สะท้อนได้จากจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีสำนักงาน และฐานการผลิตอยู่ในจังหวัดสงขลารวม 7 บริษัท ในหลากหลายอุตสาหกรรม สร้างรายได้รวมมากกว่า 150,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

บริษัท 2 เอส เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ 2S ตั้งอยู่ที่อำเภอบางกล่ำ ประกอบธุรกิจแปรรูปเหล็กรูปพรรณ และจัดหาเหล็กรูปพรรณเพื่อจำหน่าย มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 7,495 ล้านบาท

บริษัท ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOTI ตั้งอยู๋ที่กิ่งอำเภอนาหม่อม ประกอบธุรกิจ ผู้ผลิต และส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 2,548 ล้านบาท

บริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ KK ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ประกอบธุรกิจค้าปลีก และค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้ชื่อร้าน "เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์" มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 1,146 ล้านบาท

บริษัท เอส. แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SPACK ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ประกอบธุรกิจ ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ ประเภทกล่องกระดาษ ได้แก่ กล่องพิมพ์พาณิชย์หรือกล่องพิมพ์ออฟเซ็ท กล่องลูกฟูก มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 1,318 ล้านบาท

บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ประกอบธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 115,487 ล้านบาท

บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่น มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 25,946 ล้านบาท

และบริษัท ทรอปิคอลแคนนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TC ตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ประกอบธุรกิจผลิต และส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง และซอง มีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 6,593 ล้านบาท

เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้อย่างใกล้ชิด เพราะมีผลกระทบที่สำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ รวมถึงภาคธุรกิจ และการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสถานการณ์นี้ได้กดดันแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จากเดิมคาดในไตรมาส 4/68 ภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวในช่วง High Season

และที่สำคัญคือ ความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต เพราะเรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์น้ำจะลดลงเมื่อไหร่ และต้องใช้เวลา รวมถึงงบประมาณในการฟื้นฟูแค่ไหน และนั่นจะกลายเป็นอุปสรรคของการเติบโตในปี 2569 และในปีถัด ๆ ไป ซึ่งน้ำท่วมในครั้งนี้ ตามมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย แลกกับความเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง