หุ้นไทยดีดแรง บวก 41.88 จุด หลังเห็นแวว ‘ไบเดน’ คว้าชัยผู้นำสหรัฐ ทำสงครามการค้าคลายตัว
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,222.44 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,241.64 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,264.32 จุด ปรับเพิ่มขึ้น41.88 จุด หรือ 3.43% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,266.58 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,232.72 ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 80,914.90 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 6,159.24 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 820.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 122.03 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 6,857.68 ล้านบาท
โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับขึ้นค่อนข้างร้อนแรงและโดดเด่นกว่าภูมิภาค โดยดัชนีปรับขึ้น 3.43% สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นกว่า 2% ไม่แตกต่างกันมากนัก สาเหตุหลักๆ มาจากความคาดหวังว่า สถานการณ์ความขัดแย่งระหว่างสหรัฐและจีน น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากนายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะเชื่อว่าคงไม่ทำนโยบายในรูปแบบเดียวกันกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ผ่านมาแน่นอน บวกกับตลาดหุ้นไทยยังปรับระดับขึ้นต่ำกว่าภาพรวมตลาด (อันเดอร์เฟอร์ฟอร์ม) ทำให้ยังมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ จึงเห็นดัชนีปรับขึ้นได้มากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค รวมถึงผลประกอบการไตรมาส3/2563 ที่ออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงเป็นส่วนช่วยหนุนตลาดเพิ่มเติม โดยมองว่าการปรับขึ้นรอบนี้เป็นจังหวะของการดีดตัวขึ้น (รีบาวด์) แต่ไม่ได้ทำให้ดัชนีกลับตัวมาเป็นขาขึ้นได้
“ทิศทางในระยะสั้น มองว่าดัชนีจะเข้าสู่การพักฐาน เนื่องจากวันที่ 8-9 พฤศจิกายนนี้ จะมีการนัดชุมนุมแสดงจุดยืนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจทำให้เปิดตลาดหุ้นในวันถัดไปบวกได้ไม่มากนัก แต่เห็นดัชนีปรับขึ้นมายืนเหนือระดับ1,250 จุดได้ โมเมนตัมก็อาจไหลขึ้นได้ต่อ แนวต้านในระยะถัดไป อาจมีโอกาสเห็นที่ระดับ 1,290 จุดได้ เนื่องจากประเมินว่าจะมีเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น เนื่องจากนายโจ ไบเดน ไม่ได้ยึดหลักสหรัฐอเมริกามาก่อนเหมือนนายโดนัลด์ ทรัมป์ บวกกับการเมืองในประเทศผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทั้งในกรณีข้อเรียกร้อง และจำนวนผู้ชุมนุมแต่แรงกดดันยังมีอยู่ ซึ่งต้องติดตามต่อไป ด้านกลยุทธ์การลงทุน ให้เลือกหุ้นที่อันเดอร์เฟอร์ฟอร์มตลาด และมีโอกาสถูกซื้อคืน อาทิ ซีพีเอฟ ซีพีเอ็น กลุ่มรับเหมา ซีเค สเตคอน กลุ่มยานยนต์ สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์” นายณัฐพล กล่าว