รีเซต

รัฐบาลใหม่เดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์ “ไทย-จีน”

รัฐบาลใหม่เดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์ “ไทย-จีน”
TNN ช่อง16
6 ตุลาคม 2568 ( 09:44 )
4

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย–จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ร่วมกันจัดงาน “Thailand–China Cooperation Expo 2025” เพื่อร่วมฉลอง วาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน 

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษถึงความสัมพันธ์ของทั้ง

 2 ประเทศที่ได้ร่วมกันสร้างรากฐานความร่วมมือที่มั่นคงในทุกมิติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่ารากฐานนี้จะนำไปสู่โอกาสใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

นายกฯ อนุทิน ระบุว่า  จีนได้พิสูจน์ให้โลกเห็นถึงพลังแห่งการพัฒนา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล และการเป็นผู้นำในพลังงานสะอาด ขณะเดียวกันประเทศไทยก็กำลังยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบเศรษฐกิจเพื่อตอบโจทย์การเติบโตในอนาคต การบรรจบกันของศักยภาพทั้งสองประเทศจึงเป็นโอกาสทองที่จะร่วมกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองในหลายมิติ

นายกรัฐมนตรีได้เสนอทิศทางความร่วมมือไทย–จีนในอนาคต ซึ่งครอบคลุม 5 มิติสำคัญ ได้แก่

 1. การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ซึ่งไม่เพียงเชื่อมโยงสองประเทศ แต่ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมอาเซียนกับจีนตอนใต้ สร้างเครือข่ายการค้า และการท่องเที่ยวไร้รอยต่อ

2. เศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด ไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยมีจีนเป็นพันธมิตรหลัก นอกจากนี้ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ไทยและจีนยังได้ร่วมกันกำหนดแผนพัฒนาการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจฉบับใหม่ ระยะ 5 ปี ช่วงปี 2568 - 2572 เพื่อขยายความร่วมมือสู่สาขายุทธศาสตร์ใหม่ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์(ชิป) แบตเตอรี การผลิตสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

3. เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ทั้งสองประเทศจะสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจดิจิทัล เชื่อมโยงระบบการเงิน การค้าข้ามพรมแดน และการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME และสตาร์ตอัพเข้าถึงตลาดใหม่ได้สะดวกยิ่งขึ้น

4. การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งสำคัญมากกับประเทศผู้ผลิตอย่างไทย และประเทศที่มีประชากรมหาศาลอย่างจีน 

5. การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ครอบคลุมการศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การแลกเปลี่ยนนักศึกษาและบุคลากรวิชาชีพ ตลอดจนการเรียนรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ไทย–จีน มีความแน่นแฟ้นอยู่บนรากฐานของความเข้าอกเข้าใจ ต่อยอดจากมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษของทั้งสองประเทศได้สืบสานมายาวนาน

 

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่นจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และนวัตกรรมของภูมิภาค โดยจะร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิด พร้อมเดินหน้าลดอุปสรรค ปรับปรุงกฎระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ภาคเอกชนทั้งสองประเทศเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง โดยประเทศไทยจะพิสูจน์ว่า ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นประตูบานสำคัญ ที่จะเปิดไปสู่ความร่วมมืออื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ เพื่อให้มิตรภาพที่มีต่อกันมายาวนานระหว่างไทยและจีน เป็นเหมือน “สปริงบอร์ด” ที่จะนำสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป

 งาน “Thailand–China Cooperation Expo 2025” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 กันยายน 2568 ณ ศูนย์จัดแสดงสินค้านานาชาติ ตลอด 3 วันของงาน มีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 32,496 ราย  

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  ระบุว่า การจัดงานครั้งนี้ตอกย้ำความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน ซึ่งยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของกันและกันต่อเนื่องมายาวนานกว่า 12 ปี

ภายในงานมีการเจรจาธุรกิจ การลงนามความร่วมมือ และการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่จากบริษัทชั้นนำ อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงแรงงานและกรมการจัดหางาน ได้ร่วมจัด Job Fair Zone เปิดรับสมัครงานจาก 57 บริษัทกว่า 5,600 ตำแหน่ง พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านแรงงาน ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 3,850 คน 

ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำไทย–จีน ยังได้ร่วมมอบทุนการศึกษากว่า 500 ทุนใน Education Fair Zone เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ

จากกิจกรรมทั้งหมด ทำให้เห็นว่า งานนี้ไม่ได้เป็นแค่งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ แต่คือเวทีเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ที่เติบโตมั่นคงและต่อเนื่องตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา 

ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้พัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนประชาชน ความร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังได้วางรากฐานของมิตรภาพที่จริงใจและยั่งยืน เชื่อมโยงประชาชนทั้งสองชาติให้ใกล้ชิดและผูกพันกันมากยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของงานครั้งนี้สะท้อนถึงพลังความร่วมมือที่ก้าวสู่ระดับใหม่ ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ครอบคลุมสาขายุทธศาสตร์สำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ อาทิ พลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืน ยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมสีเขียว นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ เกษตรและอาหารแห่งอนาคต รวมถึงการท่องเที่ยวและบริการคุณภาพสูง สะท้อนของความมุ่งมั่นที่ไทยและจีนจะก้าวไปสู่อนาคตร่วมกันอย่างมั่นคง

ถ้าไปดูเป้าหมายดึงดูดเงินลงทุน พบว่า นักลงทุนจากจีนยังเป็นเป้าหมายของไทย 

“สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่า มีแผนที่จะจัดกิจกรรมเจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นหลังมีรัฐบาลใหม่ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายบีโอไอจัดโรดโชว์ในประเทศสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้”

รวมถึงยังมีการจัดงานให้นักลงทุนพบกับรัฐบาลใหม่ เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาล รวมถึงการจัดงานสัมมนานักลงทุนราย ซึ่งมี 3 ประเทศดังกล่าว เป็นเป้าหมายหลัก 

นายกฯ อนุทิน ยืนยันแล้วว่า จะสนับสนุนให้มีการลงทุน และผลิตสินค้าในประเทศมากขึ้น และมองว่าไทยโดยจะเร่งหารือกับบีโอไอในเรื่องส่งเสริมการลงทุน ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่มั่นใจว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ผลักดันให้ประเทศไทยเติบโต และทำให้การลงทุนคล่องตัวมากขึ้น

ส่วนกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า “นักลงทุนจีน” เข้ามารลงทุนไทยมาก โดยจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ ในพื้นที่การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มากเป็นอันดับ 1 คือ 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท จากนักลงทุนต่างชาติในช่วง 8 เดือนของปี 2568 (มกราคม-สิงหาคม 2568) จำนวน 197 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21 โดยมีมูลค่า 74,792 ล้านบาท 

ส่วนในเรื่องการท่องเที่ยว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ฯ   ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  ประกาศว่า  ในช่วง 4 เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเยือนไทยไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน ซึ่งการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก รวมถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน

ข้อมูลจากกระทรวงท่องเที่ยวฯ รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่เดือน ม.ค.-  ก.ย. 2568 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 24  ล้านคนแล้ว “นักท่องเที่ยวจีน อยู่ในอันดับ 2 คือ 3,380,000 คน “ โดยอันดับ 1 คือ มาเลเซีย 3,464,000 คน

จำนวนนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ น่าจะต่ำกว่าช่วงปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยทั้งปีกว่า 10 ล้านคน

อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคท่องเที่ยว ด้วยการวางเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยจะมุ่งเน้นการฟื้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เติบโตกลับมาอยู่ใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด-19 เมื่อปี 2562 จำนวนประมาณ 40 ล้านคน ควบคู่กับการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

ยอมรับความว่า ปี 2568 นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง แต่จะพยายามเติมส่วนที่ขาดหายไปให้กลับมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยในระยะสั้น ๆ 4 เดือนนี้ มีแผนกระตุ้นตลาดต่างชาติเที่ยวไทยจะเน้นตลาดเป้าหมายสำคัญ หรือประเทศที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหายไป ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 

ในการกระตุ้นจะใช้วิธีการใหม่คือ ให้ผู้บริหารระดับสูงเดินทางไปสร้างความเชื่อมั่นด้วยตัวเอง อาทิ การเยือนจีนร่วมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อเจรจาเรื่องเกษตรและการท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจว่าไทยจริงจังกับการดูแลความปลอดภัยและความสะดวกสบายของนักท่องเที่ยว

ทางด้านภาคอสังหาริมทรัพย์ จีนเคยมาซื้อคอนโดมิเนียมไทยมากๆ แต่ยอดการซื้อลดลงมาหลังจากโควิด

 บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย รายงานว่าการซื้อสังหาฯ ของคนจีนลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจาก นักท่องเที่ยวจีน เดินทางมาไทยลดลงกว่า 1 ใน 3 

“เดิม” อสังหาฯ ชอบจับกลุ่มนักท่องเที่ยว คือ ให้กระตุ้นการซื้อ เพื่อเดินทางมาพักผ่อน ท่องเที่ยวในไทย แต่เมื่อนักท่องเที่ยวจีนลดลง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อค่อนข้างมาก

ดังนั้นอยากแนะนำให้ “จับกลุ่มใหม่” ในกลุ่มที่มาอยู่อาศัยจริงจัง เข้ามาทำงาน เป็นนักลงทุน เป็นนักเรียน นักศึกษาที่เข้ามาเรียนหนังสือในไทย 

ถ้าดูตัวเลข พบว่า คนจีนในกลุ่มใหม่ น่าสนใจมาก พบว่า ทุนจดทะเบียนนิติบุคคลสัญชาติจีน ปี 2568 เดือนพ.ค. มีทุนจดทะเบียนจากจีนรวมกว่า 454,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.34 ของทั้งหมด หรืออยู่ในอันดับ 3 ของประเทศไทยสะท้อนให้เห็นว่าคนจีน กำลังตั้งฐานในไทยอย่างจริงจัง 

นอกจากนี้ยังพบว่า มีจำนวนผู้ถือใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ชาวจีนที่ได้งานในไทยมีกว่า 47,000 คน ณ เดือน พ.ค. 2568 เพิ่มขึ้นมากกว่าญี่ปุ่นที่อยู่ในอันดับ 1 ในกลุ่มต่างชาติที่ทำงานในไทย 

กลุ่มคนจีนมาสร้างธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะสายเทคโนโลยี อุตสาหกรรม ตรงนี้น่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว ความต้องการของลูกค้าชาวจีน แตกต่างไปจากเดิม เพราะ ต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคาตลาดระดับกลาง จนถึงระดับบน ที่มีความเฉพาะที่ชัดเจน มากกว่าคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ กลุ่มคนจีน ที่ต้องการมาอาศัยอยู่ในไย นิยมอสังหาฯ ในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ย่านศูนย์กลางธุรกิจ ทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยว

ส่วนจำนวนนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยพบว่าเป็นเด็กจากจีนเพิ่มขึ้น ในปีการศึกษา 2567 มีชาวต่างชาติราว 49,000 คน พบว่าเป็นคนจีนกว่า 23,000คน ครองอันดับ 1 ส่วนในระดับก่อนมหาวิทยาลัย มีนักเรียนต่างชาติกว่า 188,000 คน พบว่าร้อยละ 40 มาจากจีน เกาหลีใต้ เวียดนาม ฯลฯ ซึ่งถือว่าคนกลุ่มนี้ เป็น อีกแรงขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง