ทำไม "iPhone Air" เพิ่งเปิดจองในจีน ท่ามกลางแข่งขันรุนแรง

Apple ประกาศว่า "iPhone Air" จะเริ่มเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในประเทศจีนภายในสัปดาห์นี้ หลังผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีนได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลให้เปิดทดลองให้บริการ eSIM หรือซิมดิจิทัลอย่างเป็นทางการ
iPhone Air ถือเป็นรุ่นแรกของ Apple ในตลาดจีนที่รองรับการใช้งาน eSIM อย่างสมบูรณ์ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 7,999 หยวน หรือประมาณ 36,556 บาท ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์สำคัญของ Apple ในการผลักดันให้ตลาดจีนเริ่มเปลี่ยนผ่านจากซิมการ์ดแบบฟิสิคัลสู่ซิมดิจิทัล เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดต้นทุนการผลิต
รายงานจากเว็บไซต์ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ทั้ง 3 ราย ได้แก่ China Mobile, China Telecom และ China Unicom ต่างได้รับการอนุมัติให้ให้บริการ eSIM ในระยะเริ่มต้นแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ลูกค้าทดลองใช้บริการในช่วงเดียวกับการเปิดพรีออเดอร์ของ iPhone Air
การขยายบริการ eSIM ในจีนถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมา ระบบซิมดิจิทัลยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวาง ต่างจากตลาดในสหรัฐฯ หรือยุโรปที่เทคโนโลยีนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมาแล้วหลายปี การอนุมัติครั้งนี้จึงสะท้อนถึงการปรับนโยบายของรัฐบาลจีนที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียมของจีน ซึ่งแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Huawei, Xiaomi และ Honor ต่างเร่งพัฒนารุ่นเรือธงของตน แอปเปิลจึงใช้ iPhone Air เป็นหมากสำคัญหลังการเปิดตัว iPhone 17 เพียงไม่กี่สัปดาห์ โดยหวังดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสมาร์ตโฟนบาง เบา และรองรับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Apple ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนเซี่ยงไฮ้ ได้โพสต์ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Weibo ว่า iPhone Air จะพร้อมวางจำหน่ายในสัปดาห์หน้า และจะเปิดให้จองล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ การปรากฏตัวของผู้บริหารระดับสูงในจีนครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของ Apple รองจากสหรัฐฯ
iPhone Air ไม่เพียงแต่เป็นสินค้ารุ่นใหม่ในเชิงผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการวัดกระแสตอบรับของผู้บริโภคจีนต่อระบบ eSIM และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบในระบบสื่อสารมือถือ หากประสบความสำเร็จ Apple อาจขยายการใช้ eSIM สู่ทุกรุ่นในตลาดจีนในปีถัดไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความยืดหยุ่นของลูกค้าในด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย
Apple จึงถูกจับตามองว่าจะสามารถใช้โอกาสนี้ต่อยอดการเติบโตในตลาดสมาร์ตโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้หรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ซึ่งเป็นช่วงยอดขายสูงสุดของสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
