บอร์ดสวนสัตว์ฯ ยืนยัน เก้งเผือกตัวที่ 2 หายไปเพราะถูกงูเหลือมกิน

วันนี้ (6 ต.ค.63) นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย ภายหลัง ได้เรียกคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ ประชุมเป็นกรณีพิเศษ ว่า รู้สึกเสียใจ ที่ได้สูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถ โดยพบว่ามีหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขปัญหา เบื้องต้น ได้เร่งกระบวนการสรรหาผู้บริหารองค์การสวนสัตว์ โดยตอนนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสรรหาแล้ว 

ส่วนปัญหาลูกเก้งเผือกหาย 2 ตัว ชัดเจนว่า เก้งเผือกตัวที่ 2  อายุ 9 เดือน ถูกงูเหลือมกินไป โดย พบซากของเก้งเผือกในท้องงู บริเวณโรงเลี้ยงส่วนจัดแสดง ภายในคอกเลี้ยง เมื่อเจ้าหน้าที่มาพบ จึงได้ดึงงูออกมาจากโพรงที่งูเลื้อยเข้าไป พอเจ้าหน้าที่กระชากงูออกมาจากโพรง ท้องงูเกิดการฉีกขาด ทำให้พบเก้งเผือก โดยซากยังอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยืนยันเป็นเก้งเผือกตัวดังกล่าวที่หายไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลยืนยันทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดความชัดเจน อย่างเป็นทางการ

เบื้องต้นจากการสันนิษฐาน และดูสภาพแวดล้อม คาดเป็นงูป่าที่เลื้อยเข้ามาในส่วนเลี้ยงเก้งเผือก เนื่องจากสวนสัตว์สงขลาพบงูเป็นประจำ กว่า 200 ตัว ซึ่งอาจจะเลื่อยมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณส่วนเลี้ยงเก้งเผือก หรือ มาจากโพรงดินธรรมชาติ โดยเก้งเผือกไม่ได้หลุดออกไปนอกกรงเลี้ยง

ส่วนเก้งเผือกตัวที่ 1 อายุประมาณ 2-3 เดือน ที่หายไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  จากการสอบถามข้อมูลยังสวนสัตว์สงขลา ยังไม่ชัดถึงสาเหตุการหายไป ถึงแม้ จะพบซากเก้ง ถัดมา2เดือนหลังจากพบว่าหาย แต่การตรวจพิสูนจ์DNA ยังไม่ชัดเจนว่าใช่เก้งเผือกตัวที่หายหรือไม่  ขั้นตอนต่อไป ต้องตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง คือ การส่งตรวจในระดับเซลล์ ที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยทางกรมอุทยานฯ รับหน้าที่ในการตรวจ 

ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย  ระบุอีกว่า จากผลการหายไปของเก้งเผือกตัวแรกที่ยังไม่ชัดเจน  ต้องทำการสืบสวนต่อไปว่า มันเชื่อมโยง กับเหตุการณ์ขณะนี้ได้หรือไม่ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สวนสัตว์สงขลาอาจจะมีการค้าสัตว์ป่าหรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลการสอบข้อเท็จจริงต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุม ยังได้มีมติเห็นควรให้ตั้งคณะกรรมการภายนอก ขึ้นมาตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น  โดยได้ทำหนังสือ ถึงกระทรวงทรัพย์ฯ ในการตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาตรวจสอบ ว่ามีการค้าสัตว์ป่า ในสวนสัตว์สงขลาหรือไม่  รวมถึงสวนสัตว์อื่นๆทั่วประเทศ

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลสัตว์ ในสวนสัตว์ตอนนี้ได้สั่งการ ให้  ดร. สมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา รักษาการผู้อำนวยการสวนสัตว์แห่งประเทศ   ให้ไปรวบรวมข้อมูล บัญชีสัตว์เกิด สัตว์ตายทั้งหมด  ของสวนสัตว์ทั่งประเทศ ให้แก่สาธารณะชนรับทราบ เพื่อตรวจสอบได้ และเพื่อ มีความโปร่งใส

โดย ยอมรับ ที่ผ่านมาการบริหารสวนสัตว์ ต่างๆ  มีปัญหาการรายงานจำนวนประชากรสัตว์ โดยได้สั่งการให้ ตั้งอนุกรรมการประชากรสัตว์ใหม่ จำแนกบัญชีสัตว์แต่ละชนิด  และให้มีการนำข้อมูล ประชากรสัตว์แสดงบนเว็บไซต์องค์การสวนสัตว์ฯ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งเข้มมาตรการดูแลความปลอดภัยสวนสัตว์สงขลา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย โดยยังมีเก้งเผือกอีก1 ตัวที่ยังอยู่ในสวนสัตว์สงขลา

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนนำมาซึ่งการเสียชีวิตบุคลากร ทั้ง2 ราย ภายในสวนสัตว์สงขลา ทาง ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ระบุว่า มาจากความเข้าใจที่ขาดเคลื่อนในการสื่อสาร ทางนาย เฉลิมวุฒิ เกษตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา ไม่ได้รายงานผลโดยตรง ให้ทาง นายสุริยา แสงพงค์ ผู้อำนวยองค์การสวนสัตว์ฯ ทราบว่าเก้งเผือกที่หายไปถูกงูเหลือมกิน และ นายภูวดล สุวรรณะ สัตวแพทย์หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์วิจัยและสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์สงขลา ก็ยังไม่เห็นหนังสือคำสั่งย้ายที่ชัดเจน ว่าเป็นการย้ายชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้เกิดความเครียด และชั่ววูบ

ที่ผ่านมาสวนสัตว์สงขลา มีเหตุการณ์สัตว์หาย โดยในปี2557 นกแก้วมาคอร์หายไป13 ตัว มูลค่าประมาณ7 แสนบาท พบว่า สวนสัตว์ไปแจ้งความ มีการจับกุมคนขโมย เป็นกลุ่มบุคคลจากภายนอกที่ลักลอบเข้ามาขโมยไม่ใช่คนในสวนสัตว์ โดยได้นกแก้วมาคอร์ คืนมา 2 ตัว ส่วนที่เหลือ 11 ตัว ไม่ได้คืน แต่ได้จับตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดส่งฟ้องศาล จนศาลตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากผู้กระทำผิดเป็นเยาวชน 

และในปี 2561 มีการขโมย นอแรดที่ถูกตัดออกไป โดยเป็นการตายจากธรรมชาติ มีการส่งแรด ไปยัง  โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อชันสูตร พบว่า นอแรกถูกตัดไว้เพื่อให้ทาง พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำไปจัดแสดง แต่ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์คนหนึ่งที่ถูกไล่ออกไปแล้ว ได้ไปขอรับนอแรดกลับโดยพลการ ไม่มีการแจ้ง ต่อมา ทางสวนสัตว์สงขลา ตรวจพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปแอบอ้างรับมา ก็ทำการสอบสวน ปรากฎว่า มีการคืนไปแล้ว แต่กลับไปพบว่านอแรดอยู่ในบ้านของเจ้าหน้าสวนสัตว์สงขลา จึงทำการพิสูจน์ทราบ พบว่านอแรดที่พบนั้นเป็นคนละตัวจากที่พบในตอนแรก จึงได้แจ้งความดำเนินคดี.