BJC โบรกฯ มองเชิงบวกหลังเข้าลงทุนใน”เอ็ม เอ็ม เมก้า มาร์เก็ต”ที่เวียดนาม

#BJC #ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า คณะกรรมการบริหารของบริษัทได้มีมติเห็นชอบให้บจ. ซี-ดิสทริบิวชั่น เอเชีย พีทีอี แอลทีดี (CDA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BJC เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ บจ. ทีซีซี แลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) พีทีอี แอลทีดี(TCCLI) ซึ่งเป็นบริษัทในสิงคโปร์ที่ดำเนินธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) จาก บจ.โกลเด้น แลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล พีทีอี แอลทีดี (GLI)ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเกี่ยวโยงกับ BJC เพราะมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นรายเดียวกัน คือบจ. ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น (TCC)

การเข้าซื้อ TTCL ครั้งนี้มีมูลค่าซื้อขายรวม 2.25 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้เงินกู้ยืมจากสถาบัน การเงิน และ/หรือ เงินที่ได้จากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท

ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส มีมุมมองเชิงบวกต่อดีลการลงทุนในครั้งนี้ เพราะ TTCL มีการลงทุนใน บจ. เอ็ม เอ็ม เมก้า มาร์เก็ต (เวียดนาม) (MMVN) ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยมีสาขาทั่วประเทศเวียดนาม และมองว่าเป็นการขยายธุรกิจในเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงสุดในอาเซียน โดยมีประชากรที่สูงกว่าไทยที่เป็นตลาดหลักในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นการขยายตัวไปในธุรกิจค้าส่ง ซึ่งจะเสริมการดำเนินงานของ BJC ที่มีธุรกิจค้าปลีกอยู่แล้ว

ดีลนี้จะมีการขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 13 ก.พ. 69 จึงคาดจะมีผลกระทบต่อ BJC ตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 1/69 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่ออิงผลการดำเนินงานของ MMVNในปี 2567 ที่มีกำไรราว 553 ล้านบาท และหากกำหนดให้กำไรปี 2568 –2569โตเท่ากับ GDP ของเวียดนามที่ 7.3% และ 6.7% (Bloomberg) MMNV จะมีกำไรทั้งปี 2569 ราว 633 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินกู้ 2.25 หมื่นล้านบาทแล้ว BJC ไม่ควรจะมีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงกว่า 2.8% ต่อปี

ฝ่ายวิจัยมองว่า การเข้าซื้อครั้งนี้จะไม่กระทบต่อกำไรโดยรวมทั้งปี 2568 ของ BJC ขณะที่อีกทั้งคาดในกรณีแย่ ที่ต้นทุนการกู้ยืมสูงกว่าคาด จะมีผลกระทบเชิงลบต่อกำไรปี 2569 ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับฐานกำไรเดิม ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2568-2569 ไว้ตามเดิมที่ 4.2 พันล้านบาท (+6% YoY) และ 4.7 พันล้านบาท (+11% YoY) รวมทั้งคงราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 23.30 บาท

โดยระยะสั้นหุ้น BJC มีปัจจัยบวกจากความคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรได้แรงในไตรมาส 4/68 ที่เป็นช่วง high season ของธุรกิจ จึงคงคำแนะนำ “Outperform”