รีเซต

เปิดมุมมอง 2 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 2 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
14 ธันวาคม 2564 ( 09:02 )
40
เปิดมุมมอง 2 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

ทันหุ้น - บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ประเมินตลาดเข้าสู่โหมดของการรอผลประชุม FOMC ที่เริ่มประชุมวันนี้  และตัวเลขการระบาด “Omicron” ทั่วโลกยังเพิ่มต่อ FOMC จะเริ่มประชุมวันนี้ และรู้ผลเช้าตรู่วันพฤหัส(เวลาในไทย) ตลาดรอดูว่า FOMC จะส่งสัญญาณว่ากังวลต่อเงินเฟ้อหรือไม่ และจะมีการเร่งลด QE ตามที่เคยประกาศไว้หรือไม่ ที่ $15,000 ล้านเหรียญ/เดือน หากมีการเร่งลด QE และ/หรือ เร่งขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรก จะดูเป็นลบต่อตลาด โดยปกติเมื่อ FOMC เริ่มประชุมครั้งที่มีความสำคัญ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะแกว่ง sideway รอจนกว่าผลประชุมจะออกมาตั้งแต่วันนี้ จะเห็นสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอตัวลง 

 

“Omicron” ทำลายบรรยากาศในการลงทุน แม้จะมีการประเมินว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรง และวัคซีนพอจะป้องกันได้ แต่ด้วยความเปราะบางทางเศรษฐกิจและหุ้นที่อิงรายได้จากการเดินทาง-ท่องเที่ยว ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าเข้ามาเก็งกำไรในตลาด แต่ข้อดี คือ อาจทำให้ FOMC ประวิงเวลาในการตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินออกไป (ครั้งนี้ FOMC อาจอ้างเรื่อง Omicron ที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ จากที่เคยตัดสินใจไปแล้ว) 

 

ราคาน้ำมันดิบ ยังอยู่ในโซนที่แข็งแรง Brent เช้านี้ $74 เหรียญ ขณะที่ spread ปิโตรเคมี (HDPE-Dubai) สูงถึง $700 เหรียญ มองเป็นกลุ่มที่พร้อมจะไปต่อ หากภาพรวมของตลาดกลับมาดี ปัจจัยในประเทศ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการ Covid-19 มากขึ้น แต่ยังไม่ได้ปล่อยให้ทำกิจกรรมทั้งหมด จะดีในภาคการท่องเที่ยวอยู่บ้างในช่วงนี้  ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลเตรียมเข็นมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่นำค่าซื้อสินค้า-บริการ มาลดหย่อนภาษี มองเป็นข่าวดีต่อสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่มีมูลค่าสูง อาทิ สินค้าไอที หรือสินค้าฟุ่มเฟือย วันนี้ World Bank จะออกรายงานThailand Economic Monitor ‘Living with Covid in a Digital World’

 

ทั้งนี้ 2 ตัวแปร ที่ไม่มีใครกล้าฟันธง คือ Omicron และ ผลประชุม FOMC ทั้งสองเรื่องน่าจะ peak กันในสัปดาห์นี้ ทิศทางตลาดก็จะขึ้นกับตัวแปรทั้งสองตัวนี้ เป็นปกติที่ตลาด จะชะลอการซื้อขายก่อนรู้ผลประชุม FOMC ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เลือกขายหุ้นที่มีกำไร หรือขึ้นมามาก ขณะที่การซื้อ ให้เน้นไปที่ปัจจัยเฉพาะตัว (เพราะไม่เกี่ยวกับตลาด) ส่วนหุ้นใหญ่หรือหุ้นอิงตลาด ให้ไปรอดูผลประชุม FOMC 

 

พอร์ตหุ้นวันนี้นำ ORI ออก และเพิ่ม BAM, IVL เข้ามาแทน พอร์ตหุ้นประกอบด้วย BAM(10%), IVL(10%), COM7(10%), XPG*(15%), KTB(10%), TKN(10%), CRC*(15%), PTT*(15%)

 

BAM: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 22.00 บาท) “เตรียมตัวซื้อ NPL เพิ่ม และเก็งการปรับเกณฑ์ ธปท.”

- ติดตาม ธปท. ปรับเกณฑ์ของธุรกิจ AMC สามารถเข้าซื้อ NPL ของหน่วยรัฐ ประเมิน BAM เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง

- เก็งกำไร 4Q21 สวยรับ High Season ในการซื้อหนี้เสีย ส่วนปี 22 คาดมีหนี้ให้ซื้ออีกมากหลังหมดมาตรการช่วยลูกหนี้สถาบันการเงิน

- KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 2021-2022 ที่ 2.15 พัน ลบ. และ 3 พันลบ. +17%YoY, +40%YoY ตามลำดับ

 

Technical : SABUY, GIFT

 

**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,610– 1,620 แนวต้าน 1,630 – 1,635 แนะนำซื้อกลุ่มค้าปลีก CPALL, HMPRO, DOHOME (+ฟื้นตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจ) / ซื้อเก็งกำไร TIDLOR ( +ถูกนำเข้าคำนวณ FTSE Small Cap และมีโอกาสถูกนำเข้าคำนวณ SET50 )

 

VGI* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.60 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 3Q64/65 ทยอยฟื้นตัว QoQ ตามเม็ดเงินโฆษณาหลังจากการผ่อนคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้จ่ายงบโฆษณามากขึ้น ส่วนแนวโน้มปี 65/66 คาดว่ากำไรจะเติบโตเด่น นอกเหนือจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโฆษณายังมีปัจจัยหนุนจาก Synergy การเข้าลงทุนใน JMART (15%) ทั้งการให้บริการ Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ของ VGI แก่กลุ่มบริษัท Jaymart และการใช้พื้นที่บนสถานี BTS เป็นจุดรับสินค้าและบริการ รวมทั้งการขยายเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของ Fanslink ไปยังเครือข่ายทั่วประเทศของ Jaymart และ Singer

 

WHA* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 4.15 บาท) รับ Setiment บวกจากการผ่อนคลายม.ควบคุมต่างๆในประเทศของไทยเองจากช่วง Q3 คาดว่าจะส่งผลให้การเจรจากับลูกค้าต่างชาติในแง่ของการขายที่กลับมาดำเนินได้ต่อเนื่อง (เป้าในปีนีที่ 820 ไร่) โดยเฉพาะช่วง Q4 เป็น High season อยู่แล้วและจะมีแรงหนุนจากการขายสินทรัพย์เข้า WHART (มูลค่า 5,550 ลบ.)  ด้านธุรกิจ Utility คาดว่า Q4 กลับสู่ปกติหลักจากที่ก่อนหน้านี้ โรงไฟฟ้า Gheco-one มีการปิดซ่อมบำรุง  ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี64 และ ปี65 จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 63 ที่ 0.17 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.18 บาท/หุ้น, และ  0.22 บาท/หุ้น ตามลำดับ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง