JMT "ทรีนีตี้" เปิด 3 ปัจจัยกดดันราคาหุ้น ระบุเป็นโอกาสซื้อสะสม

--ประการแรก คาดการณ์การเติบโตของกำไรไตรมาส 4/65 ไม่สูงมาก เนื่องจากฐานกำไรในไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 อยู่ในระดับที่สูงมาก 

--ประการที่สอง ความกังวลที่ว่า JMT จะรับรู้รายได้น้อยลงในบริษัทลูก J Asset Management (JAM) หลังต้องเสียส่วนแบ่ง 10% ไปให้  KBANK และยังมีความกังวลที่ว่า หาก JMT ทำการ Spin-off เข้าตลาดหุ้นภายในปีนี้ จะต้องมีความยุ่งยากในการขอใบอนุญาตในการทำธุรกิจ AMC ใหม่ (เนื่องจากปัจจุบันใบอนุญาตอยู่ที่ JAM) 

--และประการที่สาม ความกังวลที่ว่า JMT อาจไม่มีใบอนุญาตในการทำธุรกิจ AMC จะทำให้การปรับโครงสร้างก่อน IPO บริษัท JAM ไม่เป็นไปตามคาด กล่าวคือธุรกิจหลักที่เป็นหนี้ไม่มีหลักประกันจะไม่ได้อยู่ที่ JMT อีกต่อไป 

ฝ่ายวิจัยทรีนีตี้ มองประเด็นการขอใบอนุญาต AMC หากอ้างอิงจากกรณีอื่นๆ ในอดีต ไม่น่าจะประสบความยากลำบากแต่อย่างใด ซึ่งก็จะส่งผลให้การปรับโครงสร้างและการแยกธุรกิจไม่น่ามีปัญหาตามมาด้วย โดย JMT จะรับหน้าที่บริหารหนี้ไม่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ JMT ในปัจจุบันราว 80-90% ต่อไป ขณะที่ประเด็นของ KBANK มองว่าหากในช่วงถัดไป KBANK ยังคงมีการบริหารจัดการ NPL ในเชิงรุก ปัจจัยนี้จะกลายมาเป็นปัจจัยบวกต่อตัวของ JMT ด้วยเช่นกัน 

ด้วยปัจจัยดังกล่าว มองการปรับฐานลงมาของราคาหุ้น JMT จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าซื้อสะสม โดยล่าสุด PBV และ PE ของ JMT กลับลงมาสู่ใกล้ระดับช่วงโควิด-19 ปี 2563 เรียบร้อยแล้ว 

ราคาหุ้น JMT เคลื่อนไหวอยู่ที่ 52.25 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 2.34% มีมูลค่าการซื้อขาย 670.88 ล้านบาท