รีเซต

Vivo X80 Series 5G ใช้กล้อง ZEISS T* มีชิปแยกสำหรับกล้องพร้อมโหมดแบบมืออาชีพ ราคาเริ่มต้น 29,999 บาท

Vivo X80 Series 5G ใช้กล้อง ZEISS T* มีชิปแยกสำหรับกล้องพร้อมโหมดแบบมืออาชีพ ราคาเริ่มต้น 29,999 บาท
TNN ช่อง16
19 พฤษภาคม 2565 ( 20:49 )
450
Vivo X80 Series 5G ใช้กล้อง ZEISS T* มีชิปแยกสำหรับกล้องพร้อมโหมดแบบมืออาชีพ ราคาเริ่มต้น 29,999 บาท

เมื่อ 18 นาฬิกาของวันที่ 19 พฤษภาคม วีโว่ (Vivo) ประเทศไทยจัดงานเปิดตัว Vivo X80 Series 5G ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ รวมถึงบนยูทูป (Youtube) ซึ่งภายในงานมีการแสดงถึงฟีเจอร์โดดเด่น และการวางขายในไทย


ไฮไลต์ของ Vivo X80 Series 5G ที่สำคัญที่สุดคือกล้องหลักที่มีไซซ์ (ZEISS) เป็นพันธมิตรเป็นปีที่ 3 โดยกล้องหลังของ X80 Series เป็น ZEISS T* ที่มีส่วนเคลือบลดแสงหลอกที่ปะทะหน้าเลนส์ เพิ่มความสว่างสดใสของภาพให้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นผลมากที่สุดในการถ่ายรูปแสงไฟตอนกลางคืน


X80 Pro 5G จะมีกล้องหลัก 4 ตัว ได้แก่กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล (MP) กล้องมุมกว้าง (Ultrawide) 48 ล้านพิกเซล (MP) กล้องถ่ายรูปบุคคล (Potrait) ขนาด 12 ล้านพิกเซล (MP) พร้อมระบบแกนกันสะเทือน (Gimbal OIS) กล้องซูม (Periscope Lens) ขนาด 8 ล้านพิกเซล (MP) รองรับการซูม (Optical Zoom) สูงสุด 5 เท่า ทั้งหมดวางอยู่บนโมดูล (Module) ที่มีดีไซน์ใหม่และป้องกันลายนิ้วมืออย่าง Ceramic Cloud Window 2.0 ในขณะที่ X80 5G จะมีกล้องหลัก 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงสุดที่ 50 ล้านพิกเซล (MP) เช่นกัน


Vivo X80 Series ติดตั้ง Vivo V1+ ชิปประมวลผล (Processor Chip) แยกอิสระซึ่งพัฒนาร่วมกับมีเดียเทค (MediaTek) สำหรับการประมวลผลภาพถ่ายโดยเฉพาะ ยกระดับคุณภาพภาพถ่ายและวิดีโอทุกสถานการณ์ แก้ปัญหาภาพเวลาแสงน้อยหรือที่แสงจ้าเกินไปได้ดียิ่งขึ้น มีการปรับแก้ค่าผิดเพี้ยนของสีให้เป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม รวมถึงยังมีโหมดถ่ายรูปและวิดีโอแบบภาพยนตร์ Pro Cinematic และโหมดภาพบุคคลระดับมืออาชีพ ZEISS Style เช่น ZEISS Cinematic Bokeh และ ZEISS Sonnar Bokeh เพิ่มเอกลักษณ์การถ่ายภาพให้โดดเด่นและเป็นมืออาชีพ


ชิปประมวลผลหลักเป็นอีกจุดสำคัญของการเปิดตัว Vivo X80 Series 5G โดยรุ่น Pro เลือกใช้ Snapdragon 8 Gen 1 ทำงานร่วมกับ Vivo V1+ ในการเพิ่มเฟรมเรต (FPS) ในการเล่นเกมโดยลดการใช้พลังงาน ในขณะที่ Vivo X80 จะใช้ MediaTek Dimensity 9000 ที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน


จุดน่าสนใจอีกจุดอยู่ที่ระบบการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasonic Fingerprint Scan) ในรุ่น Pro ซึ่งต่างจากโทรศัพท์ทั่วไปที่จะใช้ระบบแสงสะท้อน (Optical Fingerprint Scan) ทำให้มีพื้นที่สแกนลายนิ้วมือที่กว้างและเพิ่มการตรวจสอบแบบ 2 นิ้วมือพร้อมกันได้อีกด้วย


หน้าจอของ X80 และ X80 Pro ต่างเป็นแบบ AMOLED อัตราเปลี่ยนภาพ 120 เฮิรตซ์ (Hz) แต่ว่าหน้าจอในรุ่น Pro จะเป็นแบบ Dynamic Refresh Rate ตั้งแต่ 1 - 120 เฮิรตซ์ (Hz) ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและถนอมสายตามากยิ่งขึ้น รวมถึงหน้าจอในรุ่น Pro นั้นมีความละเอียดระดับ WQHD+ ตามมาตรฐานหน้าจอแบบ 20:9 ซึ่งใกล้เคียงกับความละเอียด 2K ที่มีอัตราส่วนหน้าจอ 16:9


ในขณะที่ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจอยู่ที่ระบบชาร์จไว (FlashCharge) 80 วัตต์ และรองรับระบบชาร์จไวแบบไร้สาย (Wireless FlashCharge) 50 วัตต์ในรุ่น Pro รวมถึงรุ่น Pro ยังมีความสามารถในการกันน้ำตามมาตรฐาน IP68 ส่วนทั้งสองรุ่นนั้นรองรับ Wi-Fi 6 5G และทำงานบนระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 12 ที่มีพื้นฐานมาจากแอนดรอยด์ 12 (Android 12)


Vivo X80 5G จะจำหน่ายในราคา 29,999 บาท ในขณะที่ Vivo X80 Pro 5G จะวางจำหน่ายในราคา 39,999 บาท ทั้งสองรุ่นจะมีตัวเลือกสีเป็น Cosmic Black และ Urban Blue โดยมีหน่วยความจำขนาด 12 กิกะไบต์ (GB) และพื้นที่จัดเก็บภายในขนาด 256 กิกะไบต์ (GB)  ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้


ที่มาข้อมูล Vivo

ที่มารูปภาพ Vivo


ข่าวที่เกี่ยวข้อง