มิตรรักยามยาก "รัสเซีย - อินเดีย - จีน" จับมือท้าทายสหรัฐฯ ถ่วงดุลอำนาจโลก ?

มิตรรักยามยาก "รัสเซีย - อินเดีย - จีน" จับมือท้าทายสหรัฐฯ - ถ่วงดุลอำนาจโลก ?
จีน อินเดีย และรัสเซีย 3 ชาติระดับมหาอำนาจของโลก จับมือกระชับสัมพันธ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างการจัดงานประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO Summit) ณ เมืองเทียนจิน ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจการเดินทางเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
และที่สำคัญ คือ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังถูกบีบคั้นและกดดันอย่างหนักจากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ และยังถูกชาติตะวันตกจับจ้องเรื่องความสัมพันธ์กับรัสเซียท่ามกลางสงครามในยูเครน
นายกรัฐมนตรีโมดี ของอินเดีย ได้กล่าวออกมาขอบคุณประธานาธิบดีสี ที่กล่าวเชิญให้เดินทางมาเยือนจีน พร้อมเปิดเผยว่า ผู้แทนพิเศษของทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดนเรียบร้อยแล้ว หลังจากเคยเป็นประเด็นความขัดแย้งรุนแรง นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อปี 2563 จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศเรื่อยมา แต่หลังจากนี้ไปทั้ง 2 ชาติประกาศว่าจะขอมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความไว้วางใจและเคารพซึ่งกันและกัน
ด้านประธานาธิบดีสิ จิ้น ผิง ผู้นำจีน กล่าวเปรียบเปรยว่า ทั้งสองชาติคือ มังกรและช้างเผือกที่ร่ายรำไปด้วยกัน ตราบใดที่ทั้งสองชาติยังคงยึดมั่นในทิศทางนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดียก็จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เพราะสถานการณ์ระหว่างประเทศในขณะนี้มีความผันผวนและวุ่นวาย จึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่จีนและอินเดีย จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และมีความสัมพันธ์ฉันมิตรไมตรี เป็นหุ้นส่วนที่ส่งเสริมความสำเร็จของกันและกัน
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ออกแถลงการณ์หลังการพบปะว่า “ความสัมพันธ์ที่มั่นคงและความร่วมมือระหว่างอินเดียกับจีน รวมถึงประชาชนกว่า 2 พัน 8 ร้อยล้านคน บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน และความใส่ใจต่อกัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตและการพัฒนาของทั้งสองประเทศ”
"มังกร - ช้างเผือก - หมี " ร่ายรำ
ที่สำคัญงานเต้นรำครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ มังกร และช้างเผือก เท่านั้นแต่ดูเหมือนว่าจะยังมีหมีเข้ามาร่วมวงอีกด้วย ในการประชุม SCO ที่ประเทศจีน มีภาพที่นายกรัฐมนตรีโมดีจับมือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขณะเดินไปพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งผู้นำทั้งสามได้พูดคุยกันพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ในการประชุมนอกรอบ ซึ่งเป็นการพบปะหารือระดับทวิภาคี ระหว่างอินเดียและรัสเซีย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นไปด้วยความชื่นมื่น
ปูตินได้กล่าวกับโมดีเป็นภาษารัสเซียว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีที่รัก มิตรแท้ของผม” “รัสเซียและอินเดียมีความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษและไว้วางใจกันมานานหลายทศวรรษ นี่คือรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราต่อไปในอนาคต”
ส่วนโมดีก็กล่าวตอบว่า “แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด อินเดียและรัสเซียก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมอ ความร่วมมืออันใกล้ชิดของเราไม่เพียงสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังสำคัญต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก”
ปัจจุบันนี้ จีนและอินเดียคือลูกค้ารายใหญ่ที่สุด ที่ซื้อน้ำมันดิบจากประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก แม้ว่าผู้นำของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะขู่แบนการกระทำดังกล่าว และได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียสูงถึง 50% เพื่อหวังตอบโต้ แต่อินเดียก็ยังยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องพึ่งพลังงานราคาถูกจากรัสเซียจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและเพื่อการพัฒนาประเทศ
ขณะที่นักวิเคราะห์นั้นมองว่า นโยบายของทรัมป์มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่ช่วยผลักดันให้จีน อินเดีย และรัสเซีย มาจับมือกัน หลังจากที่ผ่านมาหลายทศวรรษ ทางการสหรัฐฯได้ใช้ความพยายามทางการทูต หวังแยกอินเดียออกจากรัสเซีย และพยายามผลักดันให้อินเดียขึ้นเป็นขั้วอำนาจสำคัญในเอเชียให้ได้ เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน ที่เป็นมหาอำนาจและขยายอิทธิพลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็นว่าวันนี้การดำเนินการของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองได้กลายเป็นตัวปัญหาหรืออุปสรรคสำคัญต่อความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา
SCO ประกาศเป้าหมายหลัก ต้านแนวคิดสงครามเย็น การแบ่งขั้ว และการกลั่นแกล้ง ร่วมมือการค้าพหุภาคี
นอกจากการจับมือกันของ จีน อินเดีย และรัสเซียแล้ว การประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศจีนในครั้งนี้ ยังมีผู้นำต่างประเทศอีกกว่า 20 ประเทศเข้าร่วม ซึ่งกลุ่มของโดย 10 ชาติสมาชิกมีประชากรรวมกันแล้วมหาศาลเกือบครึ่งหนึ่งของโลก และมี GDP รวมกันแล้วมากถึง 1 ใน 4 ของ GDP โลก จึงเป็นประชุมที่ทรงพลัง และเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญจนต้องจับตาเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางบรรยากาศการค้าโลกที่กำลังตึงเครียดเพราะถูกกดดันอย่างหนักจากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ
ดังนั้นที่ประชุมครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการส่งสัญญาณไปถึงสหรัฐฯ บ่งบองถึงความต้องการถ่วงดุลอำนาจ และลดการพึ่งพาอเมริกา โดยเฉพาะบทบาทของพี่ใหญ่อย่างจีน ที่แสดงออกในฐานะผู้สร้างสันติภาพระดับโลก
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ ในการประชุม เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมประชาธิปไตยในการเมืองระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมของประเทศกำลังพัฒนา และการต่อต้านลัทธิครอบงำหรือการเมืองที่ใช้อำนาจ โดยสนับสนุนระบบโลกหลายขั้วและพหุภาคี
พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศ 5 เป้าหมายหลักของการประชุม SCO ได้แก่
1. การแสวงหาจุดร่วม เคารพความแตกต่าง สื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ เสริมสร้างความเป็นเอกภาพ และขยายความร่วมมือเพื่อสันติภาพ
2. การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาและโครงการ Belt and Road อย่างมีคุณภาพ
3. การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
4. การต่อต้านแนวคิดสงครามเย็น การแบ่งขั้ว และการกลั่นแกล้ง พร้อมสนับสนุนระบบโลกอย่างสหประชาชาติและ WTO
5. การปฏิรูป SCO ให้มีโครงสร้างและกลไกการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์รับมือภัยคุกคามและธนาคารเพื่อการพัฒนา SCO
ประธานาธิบดี ปูติน กล่าวว่ารัสเซียต้องการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงกับจีนมากขึ้น โดย SCO ได้ฟื้นฟูพหุภาคีนิยม ผ่านการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระธุรกรรม ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐได้ ขณะที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เรียกร้องให้จัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา SCO เพื่อสร้างระบบการชำระเงินหรือสกุลเงินร่วม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
