รีเซต

ทองคำร่วง ! ปัจจัยหนุนเริ่มแผ่ว ปลายปียังมีลุ้นทะลุ 70,000 บาทได้หรือไม่?

ทองคำร่วง ! ปัจจัยหนุนเริ่มแผ่ว ปลายปียังมีลุ้นทะลุ 70,000 บาทได้หรือไม่?
TNN ช่อง16
1 พฤศจิกายน 2568 ( 14:01 )
9

 ราคาทองคำร่วง ! หลุด 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่  27 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังตลาดเริ่มเห็นสัญญาณของการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน   โดยคณะเจรจาของทั้งสองประเทศได้วางกรอบข้อตกลงเบื้องต้น เพื่อชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ และเลื่อนการออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

ทันทีที่ข่าวสะพัดทำให้นักลงทุนเทขายทองคำลงในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยฉุดราคาทองคำปรับตัวลงกว่า  3.2% แม้ว่าก่อนหน้านี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381.21 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา  

นอกจากนี้การพบปะของ 2 ประเทศมหาอำนาจโลก ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ – “สี จิ้นผิง”  ประธานาธิบดีจีน นอกรอบการประชุมเอเปค ที่  นครปูซาน ประเทศเกาหลีใต้   เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญสำหรับทั้งสองประเทศเป็นไปด้วยดีเป็นแรงกดดันทองคำ

 

ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)  ลงมติ 10 ต่อ 2 ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือระหว่าง 3.75-4%  พร้อมประกาศจะยุติการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลาง หรือยุติมาตรการคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้  ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์   ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ส่งผลให้ราคาทองคำผันผวน

สำหรับทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่คลี่คลายลงส่งผลให้ราคาปรับตัวลงมากน้อยแค่ไหน  ปัจจัยบวก-ลบที่ต้องติดตามมีอะไรบ้าง นักลงทุนควรเข้าซื้อทองคำต่อหรือไม่ในช่วงที่ทองคำพักฐาน  ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

เริ่มจาก "วรุต รุ่งขํา" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า  ปัจจัยที่ทำให้ทองคำถูกเทขายมี 3 สาเหตุหลักคือ 

1. ทองคำราคาแพงทำให้คนอยากขายทำกำไร 

2.พักฐานทางเทคนิค  หลังจากที่ราคา Gold Spot  ปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับราคา 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 13 ต.ค.และวันที่ 20 ต.ค.แล้วไม่ผ่าน  โดยผ่าน All time high เพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แล้วร่วงลงมาอยู่ที่ 3,386 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

3.ปัจจัยที่เคยหนุนทองหายไป  โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดแสดงความไม่แน่นอนในการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. แม้ว่าในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาได้ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า พันธบัตรสหรัฐฯ หรือบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีดีดขึ้นมาอยู่ที่ 4.1% จากเดิมอยู่ที่ 3.9%

ขณะที่สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนคลี่คลาย หลังดีลยักษ์ใหญ่ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ พบ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนชื่นมื่นทำให้ตลาดมองว่าความรุนแรงที่จะขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาไม่น่าจะเกิดขึ้นทำให้ราคาปรับตัวลง

ทั้งนี้ประเมินว่าราคาทองคำที่ปรับตัวลง แต่ลงไม่ลึก เพราะประเด็นสงครามทางการค้าเกมสามารถพลิกได้ตลอดเวลา และที่สำคัญตลาดไม่แน่ใจว่าการหารือของ 2 ประเทศมหาอำนาจในครั้งนี้จะมีเรื่องอื่นแฝงหรือไม่  โดยเรื่องที่สำคัญที่จีนต้องการอยากหารือคือเรื่องไต้หวัน แต่ผลการหารือไม่ได้มีการพูดเรื่องไต้หวันเลย  ซึ่งจากนี้ไปต้องดูท่าทีของ “ทรัมป์” ว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หลังจากทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน โดยจีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ในปริมาณมากขึ้น และจะเลื่อนการบังคับใช้ข้อจำกัดด้านแร่หายาก (rare earth) ออกไป  อีกหนึ่งปี  

นอกจากนี้ตลาดมองว่าการที่เฟดส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ย เพราะกังวลสถานการณ์ธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฯ หรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีความกังวลเรื่องอสังหาริมทรัพย์ และปัญหา หนี้เสียและการฉ้อโกงสินเชื่อ   โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารภูมิภาคและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ เช่น Tricolor Holdings และ First Brands ทำให้เกิดความกังวลว่าปัญหานี้อาจจะขยายวงกว้างขึ้น  ซึ่งหากปรับลดดอกเบี้ยลงจะทำให้รายได้ของธนาคารลดลงและนำไปสู่วิกฤติธนาคารได้ส่งผลให้เฟดตัดสินใจประกาศยุติ  มาตรการ “คุมเข้มเชิงปริมาณ” (Quantitative Tightening) ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้

ทั้งนี้มองว่าถ้าธนาคารภูมิภาคสหรัฐเกิดวิกฤติจะใหญ่กว่าซับไพร์ม ที่เกิดขึ้นจากภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาแตกและจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดความเสียหายเข้าสู่วิกฤติ  ดังนั้นเฟดเลยต้องประคองไม่ให้เกิดปัญหาจนนำไปสู่วิกฤตธนาคาร ซึ่งถ้ามีเงื่อนไขนี้ซ่อนอยู่ก็จะเป็นบวกต่อทองคำ

นอกจากนี้การที่ “ทรัมป์” ประกาศให้กองทัพสหรัฐฯหันกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองอีกครั้ง  หลังจากที่รัสเซีย ประสบความสำเร็จในการทดสอบ “ซูเปอร์ตอร์ปิโดพลังงานนิวเคลียร์โพไซดอน” มีศักยภาพทำลายล้างพื้นที่ชายฝั่งด้วยการกระตุ้นให้เกิดคลื่นกัมมันตภาพรังสีขนาดใหญ่ในมหาสมุทร ดังนั้นคาดการณ์ว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่จบเป็นปัจจัยหนุนทองคำ

 

ขณะเดียวกันต้องจับตาดูว่า “ทรัมป์” จะสามารถเจรจากับ “ วลาดิมีร์ ปูตินประธานาธิบดีรัสเซียได้หรือไม่ หลังยกเลิกการหารือที่ กรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี

ขณะที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ออกคำเตือนว่า หากการปิดทำการของรัฐบาลกลาง (government shutdown) ยืดเยื้อต่อไป เงินช่วยเหลืออาหารภายใต้โครงการ SNAP (Supplemental Nutrition Assistance Program) อาจหมดลง ส่งผลให้ชาวอเมริกันกว่า 41 ล้านคนทั่วประเทศ เช่น ผู้สูงอายุ,เด็กและผู้พิการ ไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านอาหาร ในเดือนพ.ย.นี้   

โดยปกติรัฐบาลกลางจ่ายเงินเข้าโครงการสแนปเดือนละ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ 262,255 ล้านบาท  ซึ่งเงินนี้จะเข้าบัตรของผู้รับโดยอัตโนมัติ คล้ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของไทย สามารถนำไปใช้ซื้อของที่ร้านขายของชำ ตลาดสินค้าเกษตรกร และร้านอาหารรายย่อยอื่น ๆ ได้  ซึ่งหากสถานการณ์ไม่คลี่คลายจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน การบริโภค การใช้จ่ายลดลง อาจจะกระทบเศรษฐกิจในวงกว้างเป็นปัจจัยหนุนทองคำ  

นอกจากนี้ธนาคารกลางโลกซื้อทองคำเป็นทุนสำรองลดลง  เพราะราคาทองแพงขึ้น แต่ต้องดูรายงานของสภาทองคำโลก (World Gold Council)  ซึ่งหากลดลงจริงจะทำให้ทองปรับตัวลง  ส่วนซิตี้ กรุ๊ปได้ปรับลดคาดการณ์ทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้า สู่ระดับ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  จากเดิม 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ดังนั้นถ้าราคาทองคำปรับตัวลงเป็นช่วงที่เข้าซื้อ แนวรับแรกที่ 3,886 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา  ทองแท่งอยู่ที่ 59,600 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) แนวรับถัดไปที่ 3,830 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 58,800 บาท  และแนวรับต่อมาที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 58,000 บาท  

ส่วนแนวต้านแรกที่ 4,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ทองแท่งอยู่ที่ 62,900 บาท   แนวต้านถัดไปที่ 4,158 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทองแท่งอยู่ที่ 63,800 บาท   ซึ่งเป็นระดับสำคัญ เพราะเป็นราคาสูงสุดในวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ถ้าไม่ผ่านต้องขายออกไปก่อน

ทั้งนี้มองว่าราคาทองในเดือนพ.ย.นี้จะพักฐานและปรับตัวลง เนื่องจากเงินบาทแข็ง สงครามทางการค้าคลี่คลาย ขณะที่ตัวเลขส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้น กระทรวงการคลังปรับเป้าจีดีพีไทยโต 2.4%  และไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนทองคำ ดังนั้นทองคำจะไปยืนที่ 70,000 บาทเป็นเรื่องที่ยาก แต่ในเดือนธ.ค.อาจมีลุ้นถ้าความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนส่อเค้าปะทุขึ้นมาอีก  

ส่วนในปีหน้านั้น มีความเป็นไปได้ที่ทองคำจะไปที่ 70,000 บาท  เพราะจะมีการเปลี่ยนตัวประธานเฟดแทน “พาวเวลล์” จะหมดวาระลงในเดือนพ.ค. 69 อาจทำให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของเฟด เพื่อลดดอกเบี้ย

 ขณะที่วาณิชธนกิจของสหรัฐฯ อย่าง"โกลด์แมน แซคส์" คาด "ราคาทองโลก" วิ่งถึง 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเดือน ธ.ค. 2569 จากเดิมที่ประเมินว่า จะอยู่ในระดับ 4,300 ดอลลาร์  เนื่องด้วยแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองทั่วโลก ปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐที่ทยอยอ่อนค่าลง ได้เพิ่มแรงดึงดูดให้กับสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็น Safe Heaven อย่างทองคำ

สอดรับกับ "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD  เล่าว่า ราคาทองคำช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลงแรง โดยราคา Gold Spot  ลงไปกว่า 490 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหลังจากที่ราคาร่วงแรงทำจุดต่ำสุด 3,890  ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็พยายามขึ้นมาแตะที่ระดับ  4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  

ซึ่งจุดสำคัญวัดใจคือต้องกลับขึ้นมาอยู่ที่ 4,040 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ให้ได้ถ้ายืนได้ทองคำจะไปต่อ แต่ถ้ายืนไม่ได้แนวรับแรกอยู่ที่ 3,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดมาที่ 3,820 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าเอาไม่อยู่หลุด 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จะลงลึกไปที่ 3,500-3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ประมาณ 55,000-55,300 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

สาหตุที่ทองคำปรับตัวลง หลังจาก “พาวเวลล์” ดับฝันเรื่องการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งทำให้ตลาดตกใจ จากเดิมมีสัดส่วน 85-90% คาดว่าลดดอกเบี้ย แต่ตอนนี้สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 60-65%  ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดสหรัฐฯและจีนผ่อนคลายลง หลังผู้นำทั้ง 2 ประเทศได้หารือกัน


ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาสัปดาห์หน้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะดีกว่าคาดหรือไม่ รวมถึงผลกระทบจาก “ชัตดาวน์”ในสหรัฐฯที่ทำให้ประชาชน42 ล้านคนได้รับเดือดร้อน เพราะ โครงการความช่วยเหลือด้านโภชนาการเสริมหรือสแนป (SNAP) หรือเดิมเรียกว่าโครงการสแตมป์อาหารจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางเพื่อซื้ออาหาร  

ซึ่งต้องดูว่า "ชัตดาวน์" จะได้รับการแก้ไขหรือไม่ จากเดิมที่เคยนานสุดประมาณ 35 วัน ถ้ายืดเยื้อจะกระทบเศรษฐกิจ ดังนั้นพรรคเดโมแครต และรีพัลลิกันจะต้องชั่งน้ำหนักที่เกิดขึ้นจากผลกระทบดังกล่าว ถ้าหากได้ข้อยุติตกลงกันได้ด้วยดีจะทำให้ทองร่วง ในทางกลับกันถ้าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนักจากชัตดาวน์ราคาทองคำจะรีบาวด์

ทั้งนี้จับตาศาลฎีกาของสหรัฐฯ กำหนดพิจารณาคดีภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ พ.ย. นี้ หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำตัดสินว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยอาศัยกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) ในการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก 

ซึ่งหากศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ แสดงว่า “ทรัมป์” ใช้อำนาจเกินขอบเขต “ทรัมป์”จะต้องนำเงินที่ได้จากการเก็บภาษีนำเข้าคืนกลับไปให้ในแต่ละประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อฐานะการคลังของสหรัฐฯ มากน้อยแค่ไหน โดยปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น  

ส่วนการทดสอบขีปนาวุธรัสเซีย และสหรัฐฯ ทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์เป็นการแสดงแสนยานุภาพ เพื่อข่มกันนั้น จะเป็นตัวช่วยพยุงราคาทองคำไม่ให้ปรับตัวลงมาก ขณะที่ธนาคารกลางโลกยังเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้จะมีสัดส่วนไม่ได้สูงมากนัก จับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-ฮามาสยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนทองคำ 

โดยราคาทองคำในปลายปียังมีโอกาสลุ้น 70,000  บาท หลังปิดตลาดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ยืนเหนือ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  และกราฟแท่งยังเป็นสีเขียว แต่ทั้งนี้ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วยว่าจะอ่อนค่ามากน้อยแค่ไหน และปัจจัยหนุนทองคำจะมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาหรือไม่ ซึ่งหากราคาทองแท่งปรับตัวลง  58,700-59,700 บาทแนะทยอยซื้อสะสม และถ้าคนที่มีทองอยู่แล้วยังติดอยู่ หากราคาทองคำย่อตัวลงก็สามารถซื้อถัวเฉลี่ยได้ 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ม.ค.-ต.ค.ราคาทอง Gold Spot ขึ้นมา 1,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 63% ทองแท่งขึ้นมาประมาณ 24,000 บาท หรือประมาณ 55% 

ราคาทองคำในช่วงนี้มีความผันผวนหนัก ตามปัจจัยเศรษฐกิจโลก ทั้งค่าเงินดอลลาร์ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ภาวะเงินเฟ้อ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ชัตดาวน์ในสหรัฐฯที่ยืดเยื้อ ดังนั้นนักลงทุนต้องปรับพอร์ตให้ทันกับสถานการณ์ ลงทุนในทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสม  เพื่อบริหารความเสี่ยง  เพราะทองคำไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผล ผลตอบแทนมาจากส่วนต่างราคาเท่านั้น นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มราคาทองคำ และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือได้ทันกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง