NUT ร่วมเอี่ยวไลฟ์ “เจนนี่” อัดโปร-ผุดโปรดักต์ใหม่

#NUT #ทันหุ้น – NUT เตรียมร่วมไลฟ์สดกับ “เจนนี่” พร้อมโปรโมตสินค้าใหม่ เร่งอัดโปร รุกทำตลาดออนไลน์เต็มที่ สบช่องต่อยอดธุรกิจ OEM หลังดาราและพาร์ตเนอร์อยากทำแบรนด์ตัวเอง หนุนมาร์จิ้นพุ่ง เนื้อหอมลูกค้าต่างชาติเจรจาทำ OEM
นายพุทธิวัฒน์ กิตติภานุวัฒน์ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) หรือ NUT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ยังค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่คาดว่าสินค้าตัวใหม่ที่เปิดตัวกับร้านขายยา โดยเฉพาะเป็นกลุ่มสินค้า Propolis เช่น สเปรย์พ่นคอ และกลุ่มสินค้าวิตามิน ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากร้านขายยา รวมถึงกลุ่มอาหารเสริมที่ทำร่วมกับพาร์ทเนอร์ ทั้งสินค้าตระกูล CMF ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ “คุณซี-ศิวัฒน์” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
@ไลฟ์สดมาแรง
โดยภาพรวมครึ่งปีหลังยังมีโอกาสเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคผ่านการทำการตลาด ตามเทรนด์การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และยังรักษาการเติบโตของฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้ง TikTok, Shopee และ Lazada โดยเฉพาะยอดขายในช่วงเทศกาล 10.10 และเทศกาลพิเศษที่มีส่วนลดหรือแคมเปญจะได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์ยังเป็นช่องทางขายหลักอยู่ที่ประมาณ 70-80% ซึ่ง TikTok จะเป็นช่องทางที่มีการเติบโตมากที่สุด
ประกอบกับช่วงนี้มีกระแสไลฟ์สดขายของ “เจนนี่” ซึ่งบริษัทมีกำหนดจะเข้าร่วมในไลฟ์สดในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า เป็นการเกาะกระแสเทรนด์ โดยบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นยอดขายจากช่องทางนี้แต่จะเน้นไปที่การตลาดและการเปิดตัวและการเปิดตัวสินค้าใหม่มากกว่า ซึ่งจะควบคุมราคาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับเดียวกับช่วงโปรโมชั่นลดราคา หรือ Flash Sale ของแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับตัวแทนขายรายอื่นๆ
อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากพาร์ตเนอร์ที่เป็นดาราที่จะเข้าร่วมไลฟ์สดขายกับ “เจนนี่” ยกตัวอย่างเช่น คุณซี ศิวัฒน์ และคุณเอมี่ กลิ่นประทุม และนำสินค้าของบริษัทเข้าไปขาย
@ขยายธุรกิจ OEM
ทั้งนี้ยังสบโอกาสในการขยายธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ดาราและพาร์ตเนอร์เริ่มอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง และได้แนะนำดาราท่านอื่นให้เข้ามาจ้างผลิตกับบริษัท ซึ่งธุรกิจ OEM มีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจที่เป็นแบรนด์ของบริษัทเอง เนื่องจากธุรกิจ OEM ไม่มีต้นทุนด้านการตลาด ขณะที่แบรนด์ของบริษัทมีต้นทุนที่ต้องแบกรับรวมถึงต้นทุนทางการตลาด
ขณะเดียวกันลูกค้าต่างประเทศมีการติดต่อเพื่อขอให้บริษัทรับทำ OEM ให้ ดังนั้นธุรกิจ OEM จึงมีโอกาสเติบโตขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ 10-15% อย่างไรก็ดีภายใต้การมาของรัฐบาลใหม่ บริษัทอยากให้มีนโยบายที่จะนำสินค้าในกลุ่มอาหารเสริมและเครื่องสำอางเข้าร่วมในโครงการต่างๆ เนื่องจากอาจถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งต้องรอติดตามนโยบายต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
