รีเซต

‘ก.ล.ต.’ นับหนึ่งไฟลิ่ง ‘สยามเทคนิคคอนกรีต’ ลุยขายหุ้นไอพีโอ 203 ล้านหุ้น จ่อเข้า ‘ตลท.’

‘ก.ล.ต.’ นับหนึ่งไฟลิ่ง ‘สยามเทคนิคคอนกรีต’ ลุยขายหุ้นไอพีโอ 203 ล้านหุ้น จ่อเข้า ‘ตลท.’
มติชน
17 มิถุนายน 2564 ( 01:04 )
86

 

นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH กล่าวว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง STECH ในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 โดยบริษัทฯ มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 203,500,000 หุ้น คิดเป็น 28.07% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในไตรมาส 3/2564

 

 

ทั้งนี้ STECH เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” ได้แก่  เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงต่างๆ ให้แก่ภาครัฐบาลและเอกชน ตลอดจนการให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการตอกเสาเข็ม อีกทั้ง บริษัทฯ ยังให้บริการรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ ได้แก่ งานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV และงานออกแบบจัดหาพร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง

 

 

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ทั้งสิ้น 9 แห่ง กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ได้แก่ สระบุรี ชลบุรี สุโขทัย ลำพูน บุรีรัมย์ ขอนแก่น อุบลราชธานี และนครราชสีมา และมีโรงงานเสาเข็มสปัน ตั้งอยู่ที่สระบุรี อีกทั้ง ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 10 (สาขา 2) ที่ชลบุรี เพื่อรองรับอุปสงค์การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของโครงการอีอีซี โดยการกระจายโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงตามพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการในผลิตภัณฑ์ และความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าจากโรงงานแก่ลูกค้าในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มความพร้อมในการรองรับแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลและเอกชนอย่างต่อเนื่องในอนาคต

 

 

ด้านนายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด  (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี สาขา โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร  โครงการซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต โครงการซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน โครงการพัฒนาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต รวมถึงนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ

 

 

ด้วยจุดเด่น STECH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของอุตสาหกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ให้บริการที่มีคุณภาพ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงเป็นเวลามากกว่า 35 ปี และมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามาโดยตลอด ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิต ตลอดจนประสิทธิภาพของบุคลากรและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,550.33 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายและให้บริการมากกว่า 90% ได้แก่ รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประกอบเสาไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์คานสะพานและพื้นสะพานคอนกรีตอัดแรง เสาเข็มสปัน ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่นๆ และการให้บริการเคลื่อนย้ายและตอกเสาเข็ม ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการก่อสร้างโครงการ ได้แก่ งานโครงการสายส่งไฟฟ้า 115 kV และงานโครงการออกแบบ ติดตั้ง เคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของภาครัฐ

 

 

สำหรับกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 140.60 ล้านบาทพิ่มขึ้น 50.81% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.07% โดยบริษัทฯ มีนโยบายขยายประเภทสินค้าให้หลากหลาย สามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีกำไรจากงานรับเหมาก่อสร้างโครงการที่มากขึ้น รวมถึงมีการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้นในปี 2563

 

 

ทั้งนี้ สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 399.89 ล้านบาท ใกล้เคียงงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 6% และมีอัตรากำไรสุทธิ 9.8% แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการการป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าวได้ดีทำให้การดำเนินธุรกิจยังเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลต่อภาพรวมผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม และบริษัทฯ พร้อมรับการเติบโต จากทิศทางการเดินหน้างานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน และปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องการให้เป็นโครงการนำร่องการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการของบริษัทเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแผนงานภาครัฐดังกล่าวข้างต้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง