3 เดือน ต้องเห็นผล! ไทยกวาดล้าง"อาชญากรรมข้ามชาติ" สูญเสียมาแล้วเท่าไร?

ไทยเข้มปราบให้สิ้น "อาชญากรรมข้ามชาติ"
ปัญหาใกล้ตัวคนไทยเจอกันแทบทุกวัน กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงออนไลน์
เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่มากในระดับโลก เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
ที่สร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาทในแต่ละปี
แต่ล่าสุดไทยเราจะไม่ทน รัฐบาลไทยจัดหนักจัดเต็ม ขอยกระดับการปราบปราม
เป็นเจ้าภาพกวาดล้างในทุกทาง ตัดไฟ ตัดเน็ต สามเดือนต้องเห็นผล
รายงานของ The Straits Times สื่อของสิงคโปร์ ที่รายงานข่าวปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ได้อ้างอิงข้อมูลจากสหประชาชาติ หรือ UN โดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เปิดเผยข้อมูลซึ่งได้มาจากการสำรวจปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ และแก๊งออนไลน์สแกม พบว่าแหล่งสแกมออนไลน์ทั่วโลก มีพิกัดชี้เป้าชัดเจนว่า อยู่ที่บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย เป็นพื้นที่ที่มีฐานปฏิบัติการของกลุ่มแก๊งสแกมเมอร์กระจุกตัวอยู่มากที่สุด
จากข้อมูลนี้เป็นการชี้ว่า "กัมพูชา" ได้กลายเป็นศูนย์กลางใหม่ ของปฏิบัติการอาชญากรรมระดับโลกไปแล้ว ต่างไปจากข้อสันนิษฐานก่อนนี้เคยระบุกันว่า "เมียนมา" คือ จุดศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาค
UNODC ยังได้จัดทำแผนที่ศูนย์กลางการหลอกลวงทั่วโลก ทำให้เราได้เห็นภาพรวมของกิจกรรมเหล่านี้ มีฐานปฏิบัติสำคัญๆ ในกัมพูชาหลายจุด ที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วโลกรวมถึงหลอกคนไทย โดยเฉพาะจังหวัดสีหนุวิลล์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในศูนย์สแกมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ยังมี เมืองปอยเปต เมืองชายแดนติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่จ้องแทรกซึมเข้ามาในประเทศไทย
ขณะที่ในใจกลางกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นกรุงพนมเปญ บ่าเว็ท และเปรียะห์สีหนุ ก็มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมแกมออนไลน์อย่างโจ่งแจ้ง ชี้ชัดว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมไซเบอร์สแกมกัมพูชา ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว แต่ได้ขยายไปตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ นอกจากนี้รายงานยังได้ระบุชัด ถึงการเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นแหล่งกบดาน ชุบตัว
ผลของการตรวจสอบโดย UNODC ยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงซับซ้อนของอำนาจทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติด้วย
หนึ่งในหลายข้อความกังวลสำคัญที่ UNODC วิตก ก็คือ มีหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ชี้ไปถึงความเชื่อมโยงทางการเงิน ระหว่างกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองระดับสูงของกัมพูชา กับอุตสาหกรรมสแกมออนไลน์ โดยเฉพาะศูนย์กลางสแกมที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของธุรกิจถูกกฎหมาย
ตัวอย่างที่หยิบยกขึ้นมา ก็คือ LYP Group เป็นกลุ่มบริษัทที่ถือสัมปทานในเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะกงของกัมพูชา แต่กลุ่มดังกล่าวนี้ถูกคว่ำบาตรและขึ้นบัญชีดำโดยทางการสหรัฐ ในข้อหาเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชัน การค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน และกระทำการผิดกฎหมายทางออนไลน์
"ไทย" เป็นเหยื่อหลอกลวงออนไลน์ มิจฉาชีพข้ามชาติ
มูลค่าความเสียหายจากภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ ในประเทศไทยมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปรวมสามปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 65 ถึง 67 เสียหายรวมกว่า 7หมื่น 7พันล้านบาท เตือนประชาชนอย่าหลงกลตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อ้างอิงจาก ข้อมูลของ "thaipoliceonline" มีคนแจ้งความทั้งหมด 739,494 เรื่อง เฉลี่ยความเสียหายวันละ 77 ล้านบาท อายัดบัญชี จำนวน 560,412 บัญชี ยอดเงินอายัดคืนเงินทำได้เพียงแค่ 8,627 ล้านบาท
ประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ
1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ)
2. หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ
3. ข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center)
4. หลอกให้กู้เงิน
5. หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น
ขณะที่ข้อมูลจากรายงานประจำปีของแอปพลิเคชัน Whoscall แอปพลิเคชันดังที่ช่วยแจ้งเตือนข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ว่าใครโทรมา ชี้ว่าในปี 2023 คนไทยได้รับ SMS และได้รับสายจากมิจฉาชีพมากที่สุดในทวีปเอเชีย
* รับ SMS จากมิจฉาชีพถึง 58 ล้านข้อความ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17%
เฉลี่ยแล้วคนไทยได้รับ SMS จากมิจฉาชีพคนละ 20.3 ข้อความต่อปี
*รับสายจากมิจฉาชีพกว่า 20.8 ล้านสาย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 22%
เฉลี่ยแล้วคนไทยหนึ่งคนต้องรับสายมิจฉาชีพประมาณ 7.3 สายต่อปี
นอกจากนี้ คนไทยยังถือว่ามีโอกาสพบเจอสายโทรศัพท์และ SMS จากมิจฉาชีพมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
ข้อมูลระบว่ามีคนไทยมากถึง 88% เคยรับสายจากมิจฉาชีพ ซึ่งตัวเลขนี้นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั้งโลกซึ่งอยู่ที่ประมาณ 61% เท่านั้น และขณะเดียวกันคนไทยประมาณ 59% ต่างก็เคยได้รับ SMS จากมิจฉาชีพใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยคนทั้งโลกที่ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 58%
"งัดทุกมาตรการ ยกระดับปราบปราบ อาชญากรรมข้ามชาติ"
รัฐบาลไทยแถลงข่าวครั้งใหญ่ ประกาศกร้าวว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางการไทยจะขอยกระดับ
การปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ ตัดไฟ ตัดเน็ต เข้มชายแดน คว่ำบาตรฟอกเงิน สามเดือนต้องรู้เรื่อง
ท่าทีที่แข็งกร้าวจากรัฐบาลไทยในการปราบอาชญกรรมข้ามชาติเกิดขึ้นแล้ว วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวรัฐบาลไทยประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยอาสาเป็นเจ้าภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในการหาความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน รวมไปถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยในระดับนานาชาติ ซึ่งจากข้อมูลของ UN หรือ สหประชาชาติที่ได้มีข้อมูลว่า กัมพูชา ถือเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลก ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท/ปี
พร้อมกำหนดมาตรการดังนี้
: ด้านความมั่นคง
เพิ่มความเข้มงวดชายแดน ห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เข้าไปเล่นสิ่งผิดกฎหมาย (พนัน) ในพื้นที่ชายแดน
รวมไปถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินไปยังเสียมราฐด้วย
: ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
กระทรวง DE ตรวจสอบบัญชีม้า และเส้นทางการเงิน
ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
ตัดอินเทอร์เน็ต และประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ
ที่ไปยังหน่วยงานทางการทหาร และความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด
ร่วมมือกับ ปปง. คว่ำบาตรผู้ที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ
ทั้งการฟอกเงิน รวมถึงไปเตรียมยึดหรืออายัดทรัพย์สิน
ที่โยกย้ายไปต่างประเทศด้วย
: ด้านการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าผ่านชายแดน
ต้องระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ
พิจารณาถึงความเหมาะสมในการระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชา
ที่จะนำเอาไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
: ด้านการพาณิชย์
กระทรวงพาณิชย์ มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร และ SME
ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน
โดยขอความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในการรับซื้อสินค้า
: ด้านการประสานความร่วมมือกับนานาชาติ
กระทรวงต่างประเทศ จะประสานกับประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศ
ในการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการร่วมในภูมิภาค
ที่สำคัญ คือ การจัดการทุกด้านนี้จะต้องเห็นผลได้ชัดเจนภายในสามเดือน
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กำหนดให้ทุกภาคส่วนในการกำหนด timeline และตั้ง KPIในการดำเนินมาตรการอย่างชัดเจน โดยขอให้ภายใน 3 เดือน สถิติการแจ้งความของคนไทย ความเสียหาย การยึดทรัพย์ และการดำเนินคดีเครือข่าย จะต้องเห็นผลลดลงอย่างเป็นรูปธรรม ขอย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ ต้องเร่งแก้ไขให้หมดไปโดยเร็ว
ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ทหารได้รับนโยบายในการลาดตระเวนตามจุดช่องทางธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และในปีหน้า 2569 จะจัดกำลังป้องกันประเทศ ให้สอดคล้องกับปัญหาขบวนการคอลเซนเตอร์
นอกจากนี้จะบูรณาการการทำงานตามแนวชายแดน ร่วมกับข้าราชการพลเรือน โดยมีศูนย์สั่งการจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล พร้อมส่งฐานข้อมูลกันทุกวัน พูดคุยในทุกระดับทั้ง RBC, JBC และ GBC ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีข้ามชาติต้องหาช่องทางธรรมชาติที่คนข้าม สนับสนุนซึ่งกันและกันทั้งตำรวจและทหารตามแนวชายแดน
เช่นเดียวกับตำรวจก็จะตั้งวอร์รูมทำงานร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆในระดับสากลมากยิ่งขึ้นด้วย พร้อมจะเร่งขยายผลออกหมายจับบุคคลที่อยู่ในกัมพูชาหรือเกี่ยวข้องในกัมพูชา เช่นให้ที่ตั้งแก๊งคอลเซนเตอร์ หรือเกี่ยวข้องทางการเงินขอศาลออกหมายจับต่อไป
สามเดือนหลังจากนี้ เส้นตายอาชญกรรมข้ามชาติ
ต้องลด ต้องหายไปจากประเทศไทย เพราะคนไทยไม่ใช่เหยื่อของคุณอีกต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
