รีเซต

รับมือฤดูฝน 2567: 10 มาตรการป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ

รับมือฤดูฝน 2567: 10 มาตรการป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ
TNN ช่อง16
5 มิถุนายน 2567 ( 13:48 )
40

ฤดูฝนปี 2567 นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์สถานการณ์ว่าปริมาณฝนในปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าค่าปกติประมาณ 1% ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน ฝนจะเริ่มตกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีช่วงฝนทิ้งช่วงในกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม 


จากนั้นในเดือนสิงหาคมถึงกันยายนจะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกหนาแน่นที่สุด และมีความเสี่ยงที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยประมาณ 1-2 ลูก คาดว่าภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะสิ้นสุดฤดูฝนในกลางเดือนตุลาคม 


ในขณะที่ภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งตะวันออก จะยังคงมีฝนตกหนักต่อไปจนถึงกลางเดือนมกราคม 2568


เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฤดูฝนในปีนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้วางมาตรการสำคัญ 10 ประการ ดังนี้


1. การคาดการณ์และแจ้งเตือน: จะมีการคาดการณ์และแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงล่วงหน้า โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการพยากรณ์อากาศ และแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ และแอปพลิเคชัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือได้ทันการณ์


2. การบริหารจัดการน้ำ: จะมีการทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำและอาคารควบคุมบังคับน้ำต่างๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ มีการปรับปรุงระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการน้ำเสียและการป้องกันน้ำท่วม


3. การเตรียมความพร้อม: จะเร่งเตรียมความพร้อมในด้านเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ ระบบโทรมาตร กำลังคนประจำาพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนการจัดตั้งศูนย์อพยพ ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วงได้ทันที มีการจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน และมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ประสบภัย


4. การตรวจสอบความปลอดภัย: จะมีการตรวจสอบและติดตามความมั่นคงแข็งแรงของคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยสามารถใช้งานได้ มีการซ่อมแซมจุดที่ชำรุดให้กลับมาใช้การได้ดีดังเดิม


5. การระบายน้ำ: จะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบระบายน้ำให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีระบบ มีการขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขิน และสร้างระบบระบายน้ำเพิ่มเติมในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก


6. การซักซ้อมแผน: จะมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ การจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ และแผนการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาวะปกติ โดยมีการจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการทดสอบระบบเตือนภัยให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา


7. การพัฒนาและเก็บกักน้ำ: จะเร่งดำเนินการพัฒนาและเก็บกักน้ำไว้ในช่วงปลายฤดูฝนให้ได้มากที่สุด ทั้งในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก มีการสร้างอ่างเก็บน้ำและฝายชะลอน้ำเพิ่มเติม ตลอดจนการปรับปรุงระบบกักเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


8. การสร้างเครือข่าย: จะส่งเสริมให้มีการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ให้มีความเข้มแข็ง สามารถเป็นหูเป็นตาและให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังภัย และส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนและบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ของตัวเอง


9. การสร้างการรับรู้: จะมีการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง มีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลสถานการณ์น้ำและการประชาสัมพันธ์ มีการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ในพื้นที่เสี่ยงเป็นระยะๆ 


10. การติดตามและประเมินผล: จะมีการเก็บข้อมูลและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คอยประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ และปรับมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ (ร่าง) แผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง 12 ลุ่มน้ำ แผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม 22 ลุ่มน้ำ และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 22 ลุ่มน้ำ เพื่อวางแนวทางระยะยาวในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีกหลายโครงการ เช่น โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าในจังหวัดนครราชสีมา โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุกในจังหวัดอุตรดิตถ์ และโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริในจังหวัดชัยภูมิ


กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มั่นใจว่าด้วยการเตรียมการและบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ จะทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงไปได้ด้วยดี ป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้งถัดไปได้อย่างเพียงพอ หากทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตน้ำในฤดูฝนปีนี้ไปได้อย่างราบรื่น


อ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง