รีเซต

คำพูด "ทาคาอิจิ" เป็นเหตุจุดชนวนความขัดแย้ง จีน-ญี่ปุ่น เรารู้อะไรแล้วบ้าง

คำพูด "ทาคาอิจิ" เป็นเหตุจุดชนวนความขัดแย้ง จีน-ญี่ปุ่น เรารู้อะไรแล้วบ้าง
TNN ช่อง16
15 พฤศจิกายน 2568 ( 16:14 )
2

“หากสถานการณ์ฉุกเฉินในไต้หวันที่เกี่ยวข้องกับเรือรบและการใช้กำลังรุนแรงถึงจุดสูงสุด นั่นก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอดของญี่ปุ่น ไม่ว่าคุณจะมองอย่างไร และเราก็พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดนั้นด้วย”


นี่คือคำพูดของ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่งและเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน เธอกล่าวคำพูดนี้ต่อหน้ารัฐสภาของญี่ปุ่นในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจุดประเด็นและสุมไฟความขัดแย้งไปถึงชาติมหาอำนาจอย่าง “จีน” ที่ไม่อาจเพิกเฉยต่อคำกล่าวของเธอ และต้องออกมาเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อตอบโต้ จนถึงขณะนี้เราทราบอะไรในความขัดแย้งนี้แล้วบ้าง ?


-ไทม์ไลน์คำพูด “ทาคาอิจิ” ที่จีนไม่พอใจ


ทาคาอิจิ กล่าวคำพูดที่สร้างความไม่พอใจให้จีนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (7 พฤศจิกายน)  ไม่ทันไรในวันต่อมา (วันเสาร์) “เสวีย เจี้ยน” กงสุลใหญ่จีนประจำนครโอซากาของญี่ปุ่น แชร์บทความข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวของทากาอิชิต่อรัฐสภาบนแพลตฟอร์ม X พร้อมแสดงความคิดเห็นของตนเองว่า “หัวสกปรกที่แทรกเข้ามาจะต้องถูกตัดออก”


แต่ความขัดแย้งกลับตึงเครียดไปอีก เมื่อทาคาอิจิ ปฏิเสธที่จะถอนคำพูด แถมยังตอกย้ำว่าคำพูดของเธอ “สอดคล้องกับจุดยืนแบบดั้งเดิมของรัฐบาล” แต่เธอก็พร้อมรับว่าจะระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นให้มากขึ้น จากนั้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศจีนได้โพสต์ข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษในบัญชี X เตือนญี่ปุ่นให้ “หยุดเล่นกับไฟ” พร้อมระบุว่าจะถือเป็น “การรุกราน” หากญี่ปุ่นกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในไต้หวัน


ต่อมากระทรวงการต่างประเทศจีนเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำจีนเข้าพบเพื่อแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนคำพูดดังกล่าว มิฉะนั้น ญี่ปุ่นจะต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทั้งหมด แม้ว่าทางการจีนจะประท้วงแต่ทางฝั่งเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ออกมาชี้แจงพร้อมทั้งระบุว่าจุดยืนของญี่ปุ่นเกี่ยวกับไต้หวันนั้นยังคง “ไม่เปลี่ยนแปลง” และหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับไต้หวันอย่างสันติได้ผ่านการเจรจา

ล่าสุด ทางการจีนประกาศแนะนำประชาชนให้ “หลีกเลี่ยง” การเดินทางไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น โดยระบุว่า จากถ้อยคำที่ก้าวร้าวเกี่ยวกับไต้หวันอย่างโจ่งแจ้ง ของผู้นำญี่ปุ่น ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น ในสถานการณ์นี้จึงเป็นความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยและชีวิตของพลเมืองจีนในญี่ปุ่น


-หรือความขัดแย้งในอดีตส่งผลถึงปัจจุบัน ?


ความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่นสามารถย้อนไปได้ไกลถึงช่วงปี 1800 และ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้กระทำการอันโหดร้ายต่อคนจีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า “หากญี่ปุ่นไม่เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์และกล้าทำเรื่องเสี่ยงโดยไม่รอบคอบ ถึงขั้นใช้การแทรกแซงทางทหารในสถานการณ์ของไต้หวัน ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้รับความสูญเสียหนักและต้องจ่ายราคาที่ขมขื่นต่อหน้ากำแพงเหล็กของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน”


สื่อต่างประเทศมองว่าความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ยังคงเป็นปมร้อนในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของจีนและญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน แต่การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของทาคาอิจิ ซึ่งเป็นเหมือน “ศิษย์เอก” ของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ กลับบ่งชี้ถึงความตึงเครียดที่อาจเพิ่มขึ้นอีก แม้ว่าทาคาอิจิจะเพิ่งจับมือทักทายกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ไปเมื่อครั้งพบกันที่การประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เพราะผู้นำญี่ปุ่นที่มาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมคนนี้มุ่งสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และเธอยังเคยให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความกังวลให้กับจีน


นอกจากนี้ ทาคาอิจิมีจุดยืนที่ค่อนข้างดุดันและแข็งกร้าวต่อจีน รวมถึงสนับสนุนไต้หวันมายาวนาน เธอเคยกล่าวว่าการปิดล้อมเกาะไต้หวันอาจเป็นภัยต่อญี่ปุ่น และกล่าวว่าญี่ปุ่นสามารถระดมกำลังทหารเพื่อหยุดการรุกรานของจีนได้


ประเด็นเรื่องไต้หวันถือเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับจีน เพราะจีนพูดมาตลอดว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ ขณะที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนได้กล่าวถึงทาคาอิจิว่าเธอได้ละเมิด “หลักการจีนเดียว” หลังจากที่เธอโพสต์ภาพตัวเองพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไต้หวันระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่เกาหลีใต้


-ทำไมจากคำพูดถึงเป็นประเด็นร้อนแรง


BBC รายงานว่าคำกล่าวล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถือเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของญี่ปุ่นต่อไต้หวัน หลังจากจุดยืนของญี่ปุ่นเรื่องไต้หวันในสมัยที่ผ่านมา “คลุมเครือ” มาตลอด ซึ่งไปสอดคล้องกับนโยบายที่เรียกว่า “ความกำกวมเชิงยุทธศาสตร์” (strategic ambiguity) ที่สหรัฐฯ ยึดถือมานานด้วยการไม่ระบุชัดเจนว่าจะตอบโต้อย่างไร หากจีนรุกรานไต้หวันซึ่งที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมักหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงไต้หวันในการอภิปรายเรื่องความมั่นคงต่อหน้าสาธารณะ แต่ไม่ใช่กับทาคาอิจิ…


อย่างไรก็ตาม ในปี 2021 ทาโร อาโสะ รองนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในขณะนั้น กล่าวว่าญี่ปุ่นอาจต้องปกป้องไต้หวันร่วมกับสหรัฐฯ หากเกิดการรุกราน ในตอนนั้นจีนก็ได้ประณามถ้อยคำดังกล่าวและบอกญี่ปุ่นให้แก้ไขความผิดพลาดของตน และในความขัดแย้งครั้งล่าสุดนี้กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ประณามคำพูดของทาคาอิจิว่า เป็นการ “แทรกแซง” กิจการภายในของจีนอย่างรุนแรงด้วย พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ไต้หวัน คือส่วนหนึ่งของจีน” และจีนจะไม่อดทนต่อการแทรกแซงจากต่างประเทศในเรื่องนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง