"ดอลลาร์" หมดความขลัง ? ทองคำจ่อแซงหน้า ท้าชิงเบอร์หนึ่งทุนสำรองโลก ใต้เงาทรัมป์ 2.0

"ดอลลาร์" หรือ "ทองคำ" อนาคตทุนสำรองโลก
ทองคำได้ขึ้นแท่นกลายเป็นทุนสำรองอันดับสองของโลกไปแล้ว แซงหน้าเงินยูโรขึ้นมาได้สำเร็จ ขณะที่อันดับหนึ่งยังคงเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยมีสัดส่วนของทุนสำรองระหว่างประเทศ เมื่อวัดจากมูลค่าตลาด เป็นเงินสกุลยูโรอยู่ที่ 16% และทองคำอยู่ที่ 19% และดอลลาร์สหรัฐฯอยู่ที่ 47%
ปัจจัยหนุนสำคัญ มาแรงซื้อทองคำของแบงก์ชาติ หรือ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่คาดว่าตอนนี้มีการถือครองทองคำรวมกันมากกว่า 36,000 ตัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน ตุรกี และอินเดีย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองสินทรัพย์ แม้กระทั่งประเทศกำลังพัฒนา ก็มีความกังวลเรื่องมาตรการคว่ำบาตร และศักยภาพของสกุลเงินของตนเอง จึงพากันถือครองทองคำเพิ่มขึ้น
แต่หลังจากนี้ไป ทองคำจะโค่นล้มดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งทุนสำรองโลกได้หรือไม่ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะมีความเป็นไปได้
อ้างอิงจากผลสำรวจของ World Gold Council หรือ สภาทองคำโลก ระบุว่าแบงก์ชาติ หรือ ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองประเทศมากขึ้นไปอีก ทั้งในระยะสั้้น คือ อีก 12 เดือน และในระยะยาว คือ อีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสวนทางกับการถือครองเงินสกุลดอลลาร์ที่แบงก์ชาติต่างๆ เกือบ 3 ใน 4 บอกว่าจะขอลดสัดส่วนลง
ข้อมูลครั้งนี้มาจากแบงก์ชาติทั่วโลก 27 แห่ง และให้ความเห็นนับตั้งแต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งจากการสำรวจในทุกปี ทำให้เห็นได้ชัดว่าธนาคารกลางนั้นกำลังเตรียมตุนทองคำในะดับที่มากกว่าปีก่อน และลดการถือครองดอลลาร์ลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ธนาคารกลางทั่วโลกได้เข้าสะสมทองคำเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ตันในแต่ละปี ในช่วงเวลาตลอดสามปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ย 400-500 ตัน ในทศวรรษก่อนหน้า โดยการสะสมทองคำเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจ
เป็นการเข้าซื้อที่แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาทองคำจะมีราคาพุ่งแรงก็ตาม โดยปีที่ผ่านมา (2567) ราคาทองคำพุ่งขึ้น 30% และเพิ่มขึ้นไปอีก 30% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา(2568) โดยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ในเดือนเมษายน
ทองคำมาแรง แต่ดอลลาร์ได้รับความนิยมลดลง ตกต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี นโยบายทรัมป์ยิ่งกดดัน
ล่าสุดรายงานของนิคเกอิเอเชีย ระบุข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ ทุนสำรองทั่วโลกทั้งหมด แบ่งเป็นเงินดอลลาร์อยู่ในสัดส่วน 57.8% มีมูลค่ารวมประมาณ 12.36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 0.6% และถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2538
ดอลลาร์สหรัฐฯ เคยรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงประมาณปี 2543 จากการมีสัดส่วนในทุนสำรองโลกสูงถึงประมาณ 70% แต่วันนี้สัดส่วนของเงินดอลลาร์ ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในช่วงสิ้นปี 2567 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
แรงกระเพื่อมครั้งสำคัญครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2565 จากการที่รัฐบาลชุดก่อน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้จำกัดการเข้าถึงดอลลาร์ของรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน ได้กระตุ้นให้เกิดการกระจายความเสี่ยงรอบแรก และทั่วโลกได้ต่างพากันตั้งคำถามว่า หากสหรัฐฯสามารถตัดขาดประเทศเศรษฐกิจใหญ่ อันดับ 11 ของโลกที่มีบทบาทสำคัญในตลาดน้ำมันโลกได้แล้ว จะเหลือใครที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้อีกบ้าง
มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญวันนี้ คือ นโนยายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบัน กับความพยายามจะหาทางเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯให้ได้มากที่สุด ผ่านจัดเก็บภาษี และออกแบบระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ขึ้นมา
บลูกเบิร์ก รายงานว่า หลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรนำเข้า ในเดือนเมษายน ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดครึ่งปีแรกที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ปี 1973
จากนั้นได้เกิดกระแสขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ธนาคารและโบรกเกอร์พบว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์การเงินที่หลีกเลี่ยงการใช้ดอลลาร์ และครอบครัวมั่งคั่งที่สุดในเอเชียบางส่วน ได้พากันลดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่ามาตรการภาษีทรัมป์ทำให้คาดเดาได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่าง BRICS (ที่มีสมาชิกสำคัญ อย่าง บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ยังคงผลักดันการสร้างระบบชำระเงินข้ามพรมแดนแบบใหม่ และแม้แต่ยุโรปก็ยังเห็นโอกาสให้สกุลยูโรขึ้นมาทดแทนดอลลาร์
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมั่นใจในดอลลาร์ สินทรัพย์อื่นยังท้าทาย
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็พยายามโน้มน้าวนักลงทุนว่านโยบายดอลลาร์แข็งค่านั้นยังคงอยู่ โดยเขาได้กล่าวว่ามีคำทำนายว่าดอลลาร์จะสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และทุกครั้งคนที่สงสัยก็คิดผิดหมด รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เชื่อมั่นว่าดอลลาร์จะยังไม่หายไปจากคลังเงินสำรองของธนาคารกลางหรือจากการเงินโลกในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ยอมรับว่ามีการแข่งขันมากขึ้นในโลกหลายขั้ว และผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นยังคงคาดเดาไม่ได้
นอกจากนี้รายงานของบลูมเบิร์กยังได้ตั้งคำถามถึงความแข็งแกร่งของดอลลาร์ว่าจะมีใครที่มาโค่นบัลลังก์ได้หรือไม่
เช่น กรณีของเงินยูโร แม้จะมีการพูดถึง “ช่วงเวลายูโรโลก” ในช่วงเวลาที่เงินยูโรมีบทบาทมากขึ้น แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสหภาพยุโรปมักเคลื่อนไหวไม่เป็นเอกภาพ และยังไม่สามารถสร้างตลาดการเงินที่ลึกพอจะแข่งขันกับสหรัฐฯ
แม้กระทั่งประเทศจีนเอง ที่มีความพยายามจะผลักดันและโปรโมทเงินหยวนให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะได้รับการยอมรับในวงกว้าง จากนโยบายการควบคุมเงินทุนที่เข้มงวดของทางการจีน
ส่วนกรณีของทองคำ แม้จะอยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ทองคำมีข้อเสีย คือเก็บรักษายาก ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน และไม่สามารถใช้ชำระทางการค้าหรือการเงินได้ง่ายเหมือนดอลลาร์ ส่วนข้อเสนออื่น ๆ ตั้งแต่บิตคอยน์ไปจนถึงคริปโทเคอร์เรนซีอีกมามาย ยังไม่เป็นที่ยอมรับกว้างขวาง แม้กระทั่งสเตเบิลคอยน์ซึ่งอ้างว่าจะมาใช้แทนเงินสดจริง สุดท้ายแล้วก็ยังต้องไปผูกมูลค่ากับดอลลาร์อยู่ดี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
