16หุ้นต่างชาติแอบเก็บ BANPU นำ BH เกาะติด

#BANPU #ทันหุ้น – เปิดโผ 16 หุ้นต่างชาติทยอยเก็บตั้งแต่ตุลาคม 2565 รับฟันด์โฟลว์เข้าต่อเนื่อง ชู BANPU เข้าซื้อมากสุด รองลงมาเป็น BH-SCC-CBG พร้อมประเมินผลงาน BH ไตรมาส 3/2565 จะออกมาเด่นมากทั้ง YoY และ QoQ มองโตต่อเนื่องช่วงครึ่งปีหลัง รายได้-อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากการเข้ามารักษาของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ หลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า แรงกดดันต่างชาติขายหุ้นไทยเริ่มเบาลง โดยในเดือนตุลาคมต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไป 3-4 วันทำการ มียอดซื้อสุทธิรวม 1.9 พันล้านบาท ฝ่ายวิจัยจึงทำการค้นหาหุ้นที่ต่างชาติเข้ามาทยอยสะสม โดยผ่านการซื้อขายทางตรงในเดือนนี้ ช่วงวันที่ 3-6 ตุลาคม 2565 พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้น BANPU กว่า 4,488 ล้านบาท
รองลงมา คือ BH 550 ล้านบาท, SCC 425 ล้านบาท, CBG 341 ล้านบาท, TKT 328 34.3%, MAKRO 246, WHA 242, CPN 218 ล้านบาท, BDMS 209 ล้านบาท, COM7 178 ล้านบาท, AOT 173 ล้านบาท,CPF 167 ล้านบาท, TOP 162 ล้านบาท, KTB 154 ล้านบาท, SCGP 146 ล้านบาท, และ GULF 140 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยชื่นชอบ SCC, CBG, CPN, BDMS, COM7, AOT, CPF, SCGP เลือก CBG, HMPRO, CKP เป็น Top Pick
*BH ครึ่งหลังดีต่อเนื่อง
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/2565 ของ BH จะออกมาเด่นมาก คาดจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ โดยจะไต่ระดับขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปี (ช่วง High Season ของกลุ่มรพ.) ซึ่งปัจจัยหลักยังคงมาจากรายได้การให้บริการ (ไม่เกี่ยวข้องกับ COVID) และอัตรากำไรขั้นต้น ที่คาดจะสูงขึ้นจากการเข้ามารักษาของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ หลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา (ยกระบบ Thailand Pass)
นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังมีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น โดยการบริหารจัดการต้นทุนแพทย์/พยาบาล ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับอัตราส่วนลดและการจัดโปรโมชั่นสำหรับค่าห้อง/ค่ายา ให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะให้ส่วนลดในระดับที่ต่ำกว่า 10% ภายในปี 2565 ที่เป็นระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติ COVID (เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2565 ที่ให้ส่วนลดเฉลี่ย 13.4%) ซึ่งจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น จะผลักดันให้แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ทำได้ดีขึ้นต่อเนื่อง และจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก 2565
*ปรับกำไรปี 2565-2566 ขึ้น
เนื่องจากกำไรช่วงครึ่งปีแรก 2565 คิดเป็นสัดส่วนราว 71.9% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 และแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/2565 ที่คาดจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ จนขึ้นทำจุดสูงสุดของปี (ช่วง High Season ของกลุ่มรพ.) ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับประมาณการกำไรปี 2565-2566 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 30.2% และ 11.9% ตามลำดับ เป็น 4.2 พันล้านบาท (+248.1%YoY) และ 4.6 พันล้านบาท (+9.8%YoY) โดยสมมติฐานที่เปลี่ยนแปลงคือ
1.ปรับรายได้ปี 2565-66 ให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 18.7% และ 2.6% เป็น 1.9 หมื่นล้านบาท (+53.3%YoY) และ 2.0 หมื่นล้านบาท (+3.7%YoY) ตามลำดับ มาจาก 1.1 ปรับรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในปี 2565-2566 ให้สูงขึ้นจากเดิม 20.7% และ 1.5% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท (64.2% ของรายได้รวม) และ 1.3 หมื่นล้านบาท (66.7% ของรายได้รวม) ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานผู้ป่วยต่างชาติในปี2565 กลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติ COVID 1.2 ปรับรายได้ของผู้ป่วยไทยปี 2565-66 ให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 15.5% และ 6.1% เป็น 6.8 พันล้านบาท (35.8% ของรายได้รวม) และ 6.5 พันล้านบาท (33.3% ของรายได้รวม) ภายใต้สมมติฐานที่ไม่รวมรายได้ COVID ไว้ในปี 2566
2.ปรับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ขึ้น จากเดิม 2.0% และ 1.3% ในปี 2565-66 เป็น 45.4% และ 46.0% ตามลำดับ (ช่วง 1H/65 มีสัดส่วนราว 44.1%) สะท้อนจากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นตามสัดส่วนรายได้ของผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มากขึ้น 3.ปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Sale) ลงเป็น 19.2% ในปี 2565 และ18.3% ในปี 2566 จากเดิมอยู่ที่19.9% และ19.5% (ช่วง 1H/65 มีสัดส่วน 19.5%) สะท้อนการควบคุมต้นทุนแพทย์/พยาบาล และการประหยัดต่อขนาดที่ทำได้ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด
*พื้นฐานใหม่ 235 บาท
ภายใต้ประมาณการใหม่ มูลค่าพื้นฐานปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 235 บาท (DCF, WACC 5.9%) จากเดิม 215 บาท จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BH เนื่องจากในช่วงระยะสั้น แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 จะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดกำไรในไตรมาส 3/2565 จะเป็นจุดสูงสุดของปี (คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ) จะทำให้คาดการณ์กำไรในปี 2565 เติบโตแรงถึง 248.1% และเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 8.6% ในปี 2566