รีเซต

"สราวุธ ทรงศิวิไล" อธิบดีกรมทางหลวง ลุยโครงการ'ทางหลวง' ช่วยฟื้นเศรษฐกิจสู้โควิด (คลิปตอนที่2)

"สราวุธ ทรงศิวิไล" อธิบดีกรมทางหลวง ลุยโครงการ'ทางหลวง' ช่วยฟื้นเศรษฐกิจสู้โควิด (คลิปตอนที่2)
มติชน
18 กรกฎาคม 2563 ( 10:00 )
226

 

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนางานสัมมนา “มติชน ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน” ในวันที่ 23 กรกฎาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “มติชน” ถึงการดำเนินโครงการต่างๆ ของกรมทางหลวง เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19

 

ส่วนโครงการที่เหลือ จะนำมาพัฒนาอีกครั้งในปี 2564 หรือหากเงินที่รัฐบาลตัดงบประมาณในส่วนของหน่วยงานต่างๆ เหลือ เนื่องจากทางรัฐบาลมีการกู้เงิน ภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ในกรณีที่มีโครงการเร่งด่วน อาจจะยื่นคำขอไปที่นายกรัฐมนตรี เพื่อขอใช้งบกลางมาดำเนินโครงการเร่งด่วนก่อนต่อไป อย่างไรก็ตาม งบประมาณของกรมทางหลวงที่ถูกตัดออกไปเราจะใช้ระยะเวลาในการบริหาร 2 ปี หรือระหว่างปี 2563-2564

 

ยืนยันว่าการปรับลดงบประมาณดังกล่าว มีผลต่อโครงการในระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อโครงการขนาดใหญ่หรือแผนการดำเนินงานในภาพรวมแต่อย่างใด


สำหรับแผนการดำเนินงานของกรมทางหลวงในช่วง 3-6 เดือนนี้นั้น กรมทางหลวง งบประมาณที่ได้เป็นงบเกี่ยวกับการลงทุนประมาณ 90% ในส่วนนี้กรมทางหลวงเร่งเบิกจ่ายให้ได้มากที่สุด ซึ่งปี 2563 กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าให้เบิกจ่าย เต็ม 100% ที่ผ่านมาในปี 2562 กรมทางหลวงสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 71% ส่วนในปีนี้แม้งบประมาณปี 2563 จะมาช้ากว่ากำหนด แต่เป้าหมายที่ทางกระทรวงให้ไว้ อยากให้เบิกจ่ายงบประมาณเต็ม 100% ซึ่งในเดือนมิถุนายนถึงปัจจุบัน กรมทางหลวงเบิกจ่ายประมาณแล้วกว่า 40% โดยปกติแล้วการใช้จ่ายงบประมาณจะมีการเบิกจ่ายมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

 

คาดว่าในปี 2563 จะสามารถพัฒนาโครงการสำคัญ อาทิ แผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ก่อสร้างทาง ระยะทาง 281 กิโลเมตร, แผนงานบูรณาการพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ระยะทาง 453 กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 2 สายทาง ได้แก่ สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร


โครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินระยะทาง 1,672 กิโลเมตร, โครงการบูรณะโครงข่ายสายหลักระหว่างภาค ระยะทาง 316 กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ระยะทาง 219 กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ 16 แห่ง และโครงการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี-ปากท่อ (ถนนพระราม 2) ระยะทาง 10 กิโลเมตร


ส่วนความคืบหน้าในโครงการสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อนอย่างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สายทาง ประกอบด้วย 1.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา โครงการมีความคืบหน้า 91% คาดว่าจะเปิดให้บริการสิ้นปี 2565
2.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี โครงการมีความคืบหน้า 35% คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2566
3.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายพัทยา-มาบตาพุด โครงการมีความคืบหน้า 99% โดยวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เปิดให้บริการโดยไม่เก็บค่าผ่านทางถึงด่านปลายทางอู่ตะเภา และคาดว่าในเดือนกันยายน 2563 จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบหลายทาง

4.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 8 สายนครปฐม-ชะอำ อยู่ระหว่างขออนุมัติรูปแบบการดำเนินโครงการต่อ ครม.ภายในปี 2563 จะมีการประกาศเชิญชวนและคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในปี 2564 ประเมินราคาที่ดินและจ่ายค่าเวนคืนที่ดินภายในปี 2564-2565 ก่อสร้างระหว่างปี 2565-2568 คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2569


5.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว อยู่ระหว่างศึกษา โดยงานโยธาช่วงบางขุนเทียนเอกชัย เริ่มก่อสร้างระหว่างปี 2563-2565 งานโยธาช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ขออนุมัติโครงการภายในปี 3 และก่อสร้างภายในปี 2560-2561 งานระบบพร้อม O&M เสนอขออนุมัติโครงการในปี 2563 จะเปิดให้มีการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (พีพีพี) ปี 2564 และก่อสร้างภายในปี 2565-2567 คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2567

ส่วนงานที่เป็นงานก่อสร้างผูกพัน ตามงบประมาณที่ได้รับ การที่กรมทางหลวงจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการเร่งรัดการเบิกจ่าย แต่ก็ต้องคงในเรื่องของคุณภาพงาน ซึ่งถือเป็นความท้าทาย ที่จะทำอย่างไรให้งานเสร็จเร็ว และมีคุณภาพ แต่เมื่อมาดูที่งบประมาณด้านการลงทุนในแต่ละปี มีค่อนข้างน้อย ซึ่งในปี 2563 งบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนประมาณ 5-6 แสนล้านบาท เป็นส่วนของกรมทางหลวงประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถึงแม้ว่าในส่วนของงบการลงทุนจะมีไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้


ถ้ามองในเรื่องของเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นงานซ่อม หรืองานสร้าง ก็ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถของประชาชนได้ถ้าถนนดีไม่ขรุขระหรือเป็นหลุมเป็นบ่อ ก็จะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง และประหยัดต้นทุนในการขนส่งสินค้า ถ้าโครงสร้างระบบคมนาคมดีก็จะเป็นรากฐานให้เศรษฐกิจดีตามขึ้นไปด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง